วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ข้อมูลที่ลำเอียง



เวลาที่รับข้อมูลเข้ามา  สิ่งที่ Value Investor จะต้องพิจารณาก่อนที่จะนำไปใช้หรือนำไปวิเคราะห์ต่อก็คือ  ข้อมูลนั้นน่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง  ถ้าไม่ถูกต้อง  มันน่าจะมากหรือน้อยเกินไป  ดีเกินไปหรือแย่เกินไป  วิธีที่จะดูนั้น  หลักการสำคัญก็คือ  ดูว่าคนให้ข้อมูล รู้จริงหรือมีข้อมูลจริงไหม  นอกจากนั้น  สิ่งที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่งก็คือ  คนที่ให้ข้อมูลมี แรงจูงใจอะไรในการที่ให้ข้อมูลนั้น

เวลาที่มีนักเศรษฐศาสตร์มาบอกหรือพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจ  ถ้าเขามาจากหน่วยงานที่มีนักเศรษฐศาสตร์ที่มักจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก  และหน่วยงานนั้นไม่ได้อิงกับการเมืองในทางใดทางหนึ่ง  ในกรณีแบบนี้  พวกเขาก็จะมีทั้งความรู้  ข้อมูล และไม่มีความ ลำเอียงในการให้ความเห็นหรือพยากรณ์ ข้อมูลที่เราได้น่าจะเป็นข้อมูลที่เรานำไปใช้ได้อย่างสบายใจ อย่างไรก็ตาม พึงระลึกเสมอว่า การพยากรณ์เป็นศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนสูง แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกก็มักจะทำนายผิดอยู่บ่อยๆ ดังนั้น เวลาที่เราอ่านหรือฟังคำพยากรณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ  ผมคิดว่าเราอย่าไป เชื่ออย่างปักใจว่ามันจะถูกต้องแม้ว่าแหล่งข้อมูลหรือคนที่ให้ข้อมูลจะเป็นที่น่าเชื่อถือมาก ๆ 

นักเศรษฐศาสตร์หรือหน่วยงานที่อิงกับการเมืองในทางใดทางหนึ่ง  อาจจะให้ความเห็นหรือพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจโดยมีความ ลำเอียง”  ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว  ความลำเอียงที่ว่านั้นมักจะออกมาในด้านที่ดีกว่าความเป็นจริง  เหตุผลก็คือ  ฝ่ายการเมืองนั้น  อยากจะให้ภาพเศรษฐกิจที่ดี ๆ  เพราะนั่นคือ  ผลงาน”  ของเขาในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ   ดังนั้น  เวลาดูหรืออ่านข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจากหน่วยงานรัฐ  เราจึงควรจะดูว่ามันมาจากหน่วยงานไหน   ในแวดวงของนักเศรษฐศาสตร์กันเองนั้น  บางทีก็มีการพูดกันว่า  ถ้ามาจากหน่วยงานนี้  ตัวเลขมักจะดูมองโลกในแง่ดีกว่าอีกหน่วยงานหนึ่งเสมอจนแทบจะเป็น ธรรมเนียม

ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนนั้นมักจะให้ข้อมูลและคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในด้านที่ดีกว่าความเป็นจริงเสมอ   เริ่มตั้งแต่ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง  ผมพบว่าแทบไม่มีบริษัทไหนบอกว่าตนเองนั้นฝีมือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม  ว่าที่จริงแทบทุกบริษัทจะบอกว่าตนเองเป็นบริษัทระดับต้น ๆ  ของอุตสาหกรรม  บางบริษัทบอกว่าตนเองนั้นเป็นบริษัทที่เด่นมากในการผลิตหรือการดำเนินงานที่คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้  พวกเขาอาจจะไม่ได้โกหก  แต่พวกเขามักจะลำเอียงทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ด้วยท่าทีที่มั่นอกมั่นใจและด้วยความรู้ที่มีมากกว่าคนฟังหรือนักวิเคราะห์ของผู้บริหาร ทำให้คนฟังมักจะเชื่ออย่างสนิทใจว่ามันเป็นเรื่องจริง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือข้อมูลผลประกอบการที่ ดี ๆในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้  ที่แสดงให้คนฟังเห็น  มักจะเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ผู้บริหารพูดนั้น  เป็นความจริงอย่างแน่นอน

ภาพในอนาคตของบริษัทที่ผู้บริหารแถลงออกมานั้น  มักจะยิ่งสดใสกว่าความเป็นจริง  ผู้บริหารมีแรงจูงใจที่จะวาดภาพบริษัทให้ดูดี  เพราะเขามีแรงจูงใจหลาย ๆ  อย่าง  เช่น  เขาอยากจะเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถได้รับการยกย่อง  หรือ  ผู้บริหารที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอาจจะอยากให้คนมาซื้อหุ้นทำให้ราคาขึ้นไปและเขาอาจจะขายได้ราคาสูง  เหล่านี้เป็นต้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประเมินว่าผู้บริหารพูด  เว่อร์”  หรือลำเอียงมากไปแค่ไหน  เหตุผลเพราะเราไม่ได้อยู่ในธุรกิจหรือเราไม่สามารถหาข้อมูลได้มากพอที่จะตัดสิน  นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนบางคนใช้วิธีดูผลงานที่ผ่านมาเทียบกับสิ่งที่ผู้บริหารเคยพูดไว้ว่าตรงหรือใกล้เคียงไหม  ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีที่พอใช้ได้  อย่างไรก็ตาม  บางบริษัทอาจจะไม่มีข้อมูลที่ยาวพอ  ทำให้เราใช้ข้อมูลนี้ได้ยาก  วิธีที่น่าจะดีกว่าก็คือ  ผมจะมองไปถึง โครงสร้างของอุตสาหกรรม”  ว่าบริษัททำธุรกิจอะไร  ปัจจัยในการแข่งขันในอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร  บริษัทอยู่ในตำแหน่งไหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบคู่แข่งขันอื่นและการได้เปรียบนั้นเป็นการได้เปรียบชั่วคราวหรือถาวร  สุดท้ายยังต้องดูอีกว่าในอนาคต 3-4 ปีขึ้นไป  จะมีผู้เล่นรายใหม่ ๆ  มาแข่งขันด้วยหรือไม่  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวบอกว่า  คำคุย”  ของผู้บริหารจะเป็นจริงหรือไม่  พูดง่าย ๆ  ในการวิเคราะห์ว่าผู้บริหารลำเอียงไปมากน้อยแค่ไหน  ผมจะพยายามตัดประเด็นเรื่องฝีมือของผู้บริหารออก  แล้วมาดูในด้านของตัวอุตสาหกรรมและตำแหน่งของบริษัทในอุตสาหกรรมเป็นหลัก  ถ้าตำแหน่งของบริษัทแย่หรือเสียเปรียบ  แต่ผู้บริหารบอกว่าบริษัทของตนจะเอาชนะและแย่งชิงธุรกิจได้มากกว่าคู่แข่งมากด้วยเพราะฝีมือของผู้บริหารหรือพนักงาน  ผมก็จะไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะทำได้

โบรกเกอร์และนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์นั้น  เราต้องรู้ว่าเขามีความลำเอียง  ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่  ที่จะให้เราซื้อ ๆ  ขาย ๆ  หุ้นมากกว่าปกติ  ดังนั้น  เขาก็มักจะชอบแนะนำหุ้นที่กำลังมีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว  ดังนั้น  การให้ความเห็นเกี่ยวกับหุ้นจึงมักเป็นการแนะนำให้ซื้อหุ้นที่กำลังร้อนแรงและราคาอาจจะสูงเกินพื้นฐานไปแล้ว   แต่ในความเห็นของเขานั้นกลับเห็นว่าหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐานและน่าลงทุนทั้ง ๆ  ที่ก่อนหน้าที่หุ้นจะร้อนและราคาหุ้นยังต่ำอยู่  พวกเขาไม่เคยพูดถึงเลยว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจ  ข้อเตือนใจของผมสำหรับเรื่องนี้ก็คือ  ราคาหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นที่เกิดจากการคำนวณของนักวิเคราะห์นั้น  ส่วนใหญ่แล้วเป็น  มูลค่าในจินตนาการ”  หมายความว่า  คุณอาจจะให้ค่าเท่าไรก็ได้จากราคาเช่น  10 บาท ถึง 40 บาท ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตั้งสมมุติฐานอย่างไรหรือให้คุณค่ากับบริษัทมากน้อยแค่ไหน  ในยามที่ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นร้อนแรง  คุณจะให้ราคา 40 บาท  คนก็เชื่อ  แต่ในยามที่หุ้นตัวนั้นเงียบเหงานั้น  บางทีคุณบอกว่า 10 บาท  คนก็ยังบอกว่าไม่น่าสนใจ

เรื่องความลำเอียงในตลาดหุ้นนั้น  ผมคิดว่ายังมีอีกมาก  สิ่งที่เราควรเข้าใจก็คือ  ตลาดหุ้นนั้น  เป็นที่อยู่ของคนที่มักจะมองโลกในด้านที่บวกสูงกว่าคนปกติ  เป็นที่อยู่ของคนที่มีความหวังหรือความฝันที่สูงกว่าคนทั่วไป  พวกเขาฝันที่จะรวยอย่างรวดเร็วหรือสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ  ไม่ว่าเมื่อวานตลาดหุ้นจะเลวร้ายแค่ไหน  ก่อน 10 โมงเช้าที่ตลาดเปิด  คนเล่นหุ้นก็มักจะมีความหวังเสมอ  การมองโลกที่สดใสกว่าปกตินั้น  ผมคิดว่าทำให้คนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มี  ความลำเอียง”  ที่จะมองการลงทุนหรือการซื้อขายหุ้นในแง่ที่ดีกว่าความเป็นจริง  ถ้าลองถามคนที่ลงทุนเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ว่าเขาคิดว่าจะได้รับผลตอบแทน  ปีนี้กี่เปอร์เซ็นต์  ผมเชื่อว่าคำตอบเฉลี่ยคงเป็นอย่างน้อย 20-30% ขึ้นไป  ทั้ง ๆ  ที่ผลตอบแทนต่อปีในอดีตของตลาดหุ้นนั้นเท่ากับประมาณ 10% เท่านั้น

ในฐานะของ Value Investor  เราต้องพยายาม ฉีก”  ตนเองออกจาก ตลาด”  ความหมายก็คือ  เราต้องเข้าใจเรื่อง ความลำเอียงทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากเหตุจูงใจต่าง ๆ  และธรรมชาติบางอย่างของคนโดยเฉพาะที่อยู่ในตลาดหุ้น  การอ่านหรือฟังข้อมูลนั้น  เราต้องรู้  เบื้องหลัง”  หรือ  วาระซ่อนเร้น”  ที่อาจจะมีอยู่  เพื่อที่ว่าเราจะได้นำข้อมูลที่ได้รับมา ปรับ”  ให้ถูกต้องใกล้เคียงขึ้น  การรับข้อมูลโดยไม่พิจารณาเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง  เพราะบางครั้งมันอาจจะหมายถึงการที่เราถูก  หลอก”  ให้สำคัญผิดใน  พื้นฐาน ของบริษัท ซึ่งทำให้การตัดสินใจของเราผิดพลาดและเกิดความเสียหายร้ายแรงได้    
     
4  กรกฎาคม  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น