วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ข้อคิดสุดยอดของบัฟเฟตต์



วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยเขียนหนังสือการลงทุน   แต่แนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนของเขานั้น  ส่วนใหญ่น่าจะมาจาก  รายงานประจำปีที่เสนอต่อผู้ถือหุ้นบริษัทเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์  ที่เขาเป็นประธานอยู่  และอีกจำนวนไม่น้อยมาจากการพูดหรือแสดงความคิดเห็นในที่ต่าง ๆ   หลังจากนั้นก็มีคนหลายคนที่ศึกษาและรวบรวมความคิดของเขาออกมาเป็นหมวดหมู่เป็นระบบ  และกลายเป็นหนังสือแนวทางหรือกลยุทธ์การลงทุน แบบบัฟเฟตต์ซึ่งแน่นอน  มีหลายเวอร์ชั่น  แล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร   อย่างไรก็ตาม  ถ้าตัดเรื่องของการเขียนเป็นรูปเล่มที่ต้องมีการพรรณนาเรืองราวต่าง ๆ  ที่ยืดยาวออกไป  เราก็พอจะหาแนวคิดที่เป็น แก่นจริง ๆ  ของบัฟเฟตต์ได้จากคำกล่าวหรือข้อคิดสำคัญ ๆ  ของบัฟเฟตต์ที่พูดไว้ในที่ต่าง ๆ  ได้  และต่อไปนี้คือข้อคิดดี ๆ  ที่เป็น  สุดยอดของบัฟเฟตต์

คำกล่าวที่หนึ่ง  ก็คือ  สำหรับเรื่องของการลงทุนแล้ว  กฎข้อที่หนึ่งก็คือ  อย่าขาดทุน  และกฎข้อที่สองก็คือ  ให้กลับไปดูกฎข้อที่หนึ่ง”  นั่นก็คือ  สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว  สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนก็คือ  คุณต้องพยายามอย่าให้ขาดทุน  บัฟเฟตต์นั้นไม่เคยพูดถึงว่าเวลาลงทุนเขาคาดว่าจะกำไรเท่าไร  กำไรกี่เปอร์เซ็นต์  ซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสที่จะหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน  พูดง่าย ๆ  เขาดูความเสี่ยงที่เป็น  Down Side หรือขาลง  มากกว่าโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงในด้านขาขึ้นหรือ Up Side เหตุผลสำคัญผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่เน้นการลงทุนถือหุ้นระยะยาวมาก  ดังนั้น  หุ้นจะขึ้นหรือเปล่าในเดือนหน้าหรือปีหน้าเขาไม่สนใจ  เขาสนใจแต่ว่าในระยะยาวแล้ว   หุ้นที่เขาซื้อจะไม่ลดลงอย่างถาวรเนื่องจากผลการดำเนินงานแย่ลง

คำกล่าวที่สอง  เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะซื้อธุรกิจที่ดีสุดยอดในราคาปานกลาง  แทนที่จะซื้อธุรกิจปานกลางในราคาที่ดีสุดยอด”  ความหมายก็คือ  บัฟเฟตต์นั้นไม่เน้นซื้อของถูกหรือซื้อได้ในราคาที่  ดีสุดยอด”  เขาคิดว่าธุรกิจที่ดีสุดยอดนั้น  ในระยะยาวแล้วมูลค่าของกิจการก็จะเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ  ดังนั้น  ถ้าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม  ไม่แพง  ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตามผลประกอบการของมัน  ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี   ตรงกันข้าม  หุ้นของกิจการปานกลางนั้น  ผลประกอบการก็มักจะไม่ดีขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว  ทำให้มูลค่าของกิจการไม่ใคร่เพิ่มขึ้น  จริงอยู่  ในวันแรกเราอาจจะซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก  และก็มีโอกาสที่ราคาของมันจะปรับเพิ่มขึ้นไปเข้าหามูลค่าที่เหมาะสมหรือเข้าหา Intrinsic Value แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน  นอกจากนั้น  หลังจากที่มันปรับตัวขึ้นไปครั้งเดียวแล้ว  ราคาของมันก็อาจจะนิ่งไม่ไปไหนอยู่นานเพราะกิจการไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น  ดังนั้น  ยิ่งถือนาน  ผลตอบแทนก็จะลดลง ซึ่งนำไปสู่ คำกล่าวที่สาม

คำกล่าวที่สาม  เวลาเป็นเพื่อนของธุรกิจที่มหัศจรรย์  แต่เป็นศัตรูของธุรกิจพื้น ๆนั่นก็คือ  ถ้าเราถือหุ้นของ ธุรกิจมหัศจรรย์”  หรือธุรกิจที่ดีสุดยอด  คุณจะอยากถือไว้นานที่สุด  ให้เวลากับการลงทุน  เพราะยิ่งเวลาผ่านไป  กำไรของบริษัทก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ  ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราที่สูงต่อเนื่อง  ตรงกันข้าม  ธุรกิจพื้น ๆ  นั้น  ในบางช่วงเช่นช่วงแรก ๆ  ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะรวมถึงการที่มีคนเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่ถูกและเข้ามาซื้อทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น  แต่เมื่อถือหุ้นนานขึ้นเรื่อย ๆ  แต่กำไรของบริษัทและราคาหุ้นกลับไม่ปรับตัวขึ้น  ผลก็คือ  เมื่อเวลาผ่านไป  ผลตอบแทนต่อปีก็จะลดลงเรื่อย ๆ  ยิ่งถือนานก็ยิ่งแย่

คำกล่าวที่สี่  แนวทางของเราก็คือ  กำไรจากการไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะเปลี่ยนแปลง  อย่างหมากฝรั่ง Wrigley   มันเป็นเรื่องของการไม่เปลี่ยนแปลงที่ดึงดูดใจผม  ผมไม่คิดว่ามันจะถูกเปลี่ยนโดยอินเตอร์เน็ต  นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ”  นั่นก็คือ  บัฟเฟตต์  นั้น  มองว่าธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายด้วยปัจจัยอื่นโดยเฉพาะทางด้านของเท็คโนโลยี จะถือว่าเป็นธุรกิจที่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ในระยะยาว  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับเขาที่ต้องการลงทุนระยะยาวมากหรือตลอดไป  ดังนั้น  ถ้าอะไรที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย  เขาก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางทีอาจจะทำให้บริษัทหนึ่งมีผลประกอบการที่ก้าวกระโดดและทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้มหาศาลอย่างหุ้นอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย  อย่างไรก็ตาม  กิจการที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็มีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่บัฟเฟตต์จะรับได้

คำกล่าวที่ห้า  สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ  บริษัทที่ยิ่งใหญ่  ประสบกับปัญหาชั่วคราว  เราต้องการซื้อมันเมื่อมันอยู่บนโต๊ะผ่าตัด”  นี่เป็น โอกาสทอง”  ที่บัฟเฟตต์แสวงหาตลอดมา  จากอดีตจะเห็นว่าเขาเคยทำเงินมหาศาลอย่างรวดเร็วจากการซื้อหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดแต่ประสบปัญหาชั่วคราวที่สามารถแก้ไขได้  อาทิเช่นหุ้นของอเมริกันเอ็กซเพรส  หุ้นโค๊ก  และหุ้นอีกหลายตัวในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์มในอเมริกา
คำกล่าวที่หก  นานมาแล้ว เซอร์ไอแซ็คนิวตันให้กฎ 3 ข้อของการเคลื่อนที่ของวัตถุซึ่งเป็นผลงานที่เป็นอัจฉริยะ  แต่ความสามารถของนิวตันไม่คลุมไปถึงเรื่องการลงทุน  เขาขาดทุนมากมายในวิกฤติการณ์ฟองสบู่เซ้าท์ซี  เขากล่าวภายหลังว่า  ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้  แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของคน’  ถ้าเขาไม่ถูกทรมานจากการขาดทุนในครั้งนั้นมากเกินไป  เขาคงได้ค้นพบกฎข้อที่สี่ของการเคลื่อนไหว  นั่นคือ  สำหรับนักลงทุนโดยรวม  ผลตอบแทนลดลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น’ ”   ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือ  บัฟเฟตต์มองว่า  ยิ่งเราซื้อขายหุ้นมากขึ้น  เราก็จะต้องเสียต้นทุนค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้น  เช่นเดียวกับส่วนต่างราคาซื้อราคาขาย  และอาจจะเกิดความผิดพลาดในด้านของจังหวะการซื้อขาย  ทั้งหมดนั้นทำให้ยิ่งเทรดหุ้นมาก  ผลตอบแทนก็ยิ่งลดลง

คำกล่าวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ   บัฟเฟตต์บอกว่า  เหนือสิ่งอื่นใด  คุณจะพบว่าใครว่ายน้ำล่อนจ้อนก็ต่อเมื่อกระแสน้ำลดลง”  ความหมายก็คือ  การที่จะดูว่าใครมีฝีมือในการลงทุนจริง ๆ  หรือหลักการลงทุนแบบไหนได้ผลในระยะยาวจริง ๆ นั้น  เราจะต้องดูตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำหรือซบเซาลงมาก ๆ  เพราะนั่นคือเวลาที่จะพิสูจน์ว่ากลยุทธ์การลงทุนใช้ได้ผลจริง  เพราะในยามที่ตลาดดีหรือช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นโดดเด่นเป็นกระทิงนั้น   กลยุทธ์หลาย ๆ  แบบอาจให้ผลดีหรือแม้แต่ดีกว่ากลยุทธ์ที่กูรูระดับโลกใช้กัน  แต่ในยามที่ตลาดตกต่ำ  กลยุทธ์นั้นอาจจะทำให้ขาดทุนมหาศาลและทำให้ผลตอบแทนโดยรวมระยะยาวกลับแย่ลงหรือไม่ดีอย่างที่คิด

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของ อัจฉริยะของบัฟเฟตต์  ที่ได้ผ่านการทดสอบมาต่อเนื่องยาวนานคิดแล้วน่าจะถึงห้าสิบปีที่เขาลงทุนมา  อย่างไรก็ตาม  เขาบอกว่า  คนชอบอ้างอิงความคิดของเรา  แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติตามแนวทางการลงทุนที่เราทำ”  และนี่ก็คงเป็นเรื่องธรรมชาติของคน  หลักการลงทุนแบบบัฟเฟตต์นั้น  มันฝืนความรู้สึกของคนที่มักจะชอบ  ทำอะไรบางอย่าง”  การซื้อแล้วถือหุ้นไว้เฉย ๆ  แบบบัฟเฟตต์นั้น  ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่าย  
 
 29 เมษายน  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น