วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยเขียนหนังสือการลงทุน แต่แนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนของเขานั้น ส่วนใหญ่น่าจะมาจาก รายงานประจำปีที่เสนอต่อผู้ถือหุ้นบริษัทเบิร์กไชร์
แฮทธาเวย์ ที่เขาเป็นประธานอยู่ และอีกจำนวนไม่น้อยมาจากการพูดหรือแสดงความคิดเห็นในที่ต่าง
ๆ
หลังจากนั้นก็มีคนหลายคนที่ศึกษาและรวบรวมความคิดของเขาออกมาเป็นหมวดหมู่เป็นระบบ และกลายเป็นหนังสือแนวทางหรือกลยุทธ์การลงทุน “แบบบัฟเฟตต์” ซึ่งแน่นอน มีหลายเวอร์ชั่น แล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร อย่างไรก็ตาม
ถ้าตัดเรื่องของการเขียนเป็นรูปเล่มที่ต้องมีการพรรณนาเรืองราวต่าง ๆ ที่ยืดยาวออกไป เราก็พอจะหาแนวคิดที่เป็น “แก่น” จริง ๆ
ของบัฟเฟตต์ได้จากคำกล่าวหรือข้อคิดสำคัญ ๆ ของบัฟเฟตต์ที่พูดไว้ในที่ต่าง ๆ ได้
และต่อไปนี้คือข้อคิดดี ๆ
ที่เป็น “สุดยอด”
ของบัฟเฟตต์
คำกล่าวที่หนึ่ง
ก็คือ “สำหรับเรื่องของการลงทุนแล้ว
กฎข้อที่หนึ่งก็คือ
อย่าขาดทุน
และกฎข้อที่สองก็คือ
ให้กลับไปดูกฎข้อที่หนึ่ง” นั่นก็คือ
สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนก็คือ
คุณต้องพยายามอย่าให้ขาดทุน บัฟเฟตต์นั้นไม่เคยพูดถึงว่าเวลาลงทุนเขาคาดว่าจะกำไรเท่าไร กำไรกี่เปอร์เซ็นต์
ซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสที่จะหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน พูดง่าย ๆ
เขาดูความเสี่ยงที่เป็น Down
Side หรือขาลง
มากกว่าโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงในด้านขาขึ้นหรือ Up Side เหตุผลสำคัญผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่การลงทุนของบัฟเฟตต์ที่เน้นการลงทุนถือหุ้นระยะยาวมาก ดังนั้น
หุ้นจะขึ้นหรือเปล่าในเดือนหน้าหรือปีหน้าเขาไม่สนใจ เขาสนใจแต่ว่าในระยะยาวแล้ว
หุ้นที่เขาซื้อจะไม่ลดลงอย่างถาวรเนื่องจากผลการดำเนินงานแย่ลง
คำกล่าวที่สอง “เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะซื้อธุรกิจที่ดีสุดยอดในราคาปานกลาง แทนที่จะซื้อธุรกิจปานกลางในราคาที่ดีสุดยอด” ความหมายก็คือ
บัฟเฟตต์นั้นไม่เน้นซื้อของถูกหรือซื้อได้ในราคาที่ “ดีสุดยอด” เขาคิดว่าธุรกิจที่ดีสุดยอดนั้น
ในระยะยาวแล้วมูลค่าของกิจการก็จะเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้น
ถ้าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม
ไม่แพง
ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตามผลประกอบการของมัน
ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี
ตรงกันข้าม
หุ้นของกิจการปานกลางนั้น
ผลประกอบการก็มักจะไม่ดีขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้มูลค่าของกิจการไม่ใคร่เพิ่มขึ้น จริงอยู่
ในวันแรกเราอาจจะซื้อได้ในราคาที่ถูกมาก
และก็มีโอกาสที่ราคาของมันจะปรับเพิ่มขึ้นไปเข้าหามูลค่าที่เหมาะสมหรือเข้าหา
Intrinsic Value แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน นอกจากนั้น
หลังจากที่มันปรับตัวขึ้นไปครั้งเดียวแล้ว
ราคาของมันก็อาจจะนิ่งไม่ไปไหนอยู่นานเพราะกิจการไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้น
ยิ่งถือนาน ผลตอบแทนก็จะลดลง
ซึ่งนำไปสู่ คำกล่าวที่สาม
คำกล่าวที่สาม “เวลาเป็นเพื่อนของธุรกิจที่มหัศจรรย์
แต่เป็นศัตรูของธุรกิจพื้น ๆ” นั่นก็คือ ถ้าเราถือหุ้นของ “ธุรกิจมหัศจรรย์” หรือธุรกิจที่ดีสุดยอด คุณจะอยากถือไว้นานที่สุด ให้เวลากับการลงทุน เพราะยิ่งเวลาผ่านไป กำไรของบริษัทก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราที่สูงต่อเนื่อง ตรงกันข้าม
ธุรกิจพื้น ๆ นั้น ในบางช่วงเช่นช่วงแรก ๆ
ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะรวมถึงการที่มีคนเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่ถูกและเข้ามาซื้อทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น แต่เมื่อถือหุ้นนานขึ้นเรื่อย ๆ
แต่กำไรของบริษัทและราคาหุ้นกลับไม่ปรับตัวขึ้น ผลก็คือ
เมื่อเวลาผ่านไป
ผลตอบแทนต่อปีก็จะลดลงเรื่อย ๆ
ยิ่งถือนานก็ยิ่งแย่
คำกล่าวที่สี่ “แนวทางของเราก็คือ
กำไรจากการไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะเปลี่ยนแปลง อย่างหมากฝรั่ง Wrigley มันเป็นเรื่องของการไม่เปลี่ยนแปลงที่ดึงดูดใจผม
ผมไม่คิดว่ามันจะถูกเปลี่ยนโดยอินเตอร์เน็ต นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ” นั่นก็คือ บัฟเฟตต์
นั้น มองว่าธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายด้วยปัจจัยอื่นโดยเฉพาะทางด้านของเท็คโนโลยี
จะถือว่าเป็นธุรกิจที่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ในระยะยาว
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับเขาที่ต้องการลงทุนระยะยาวมากหรือตลอดไป ดังนั้น
ถ้าอะไรที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย
เขาก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางทีอาจจะทำให้บริษัทหนึ่งมีผลประกอบการที่ก้าวกระโดดและทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้มหาศาลอย่างหุ้นอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม
กิจการที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายก็มีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่บัฟเฟตต์จะรับได้
คำกล่าวที่ห้า “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ
บริษัทที่ยิ่งใหญ่
ประสบกับปัญหาชั่วคราว
เราต้องการซื้อมันเมื่อมันอยู่บนโต๊ะผ่าตัด” นี่เป็น “โอกาสทอง” ที่บัฟเฟตต์แสวงหาตลอดมา
จากอดีตจะเห็นว่าเขาเคยทำเงินมหาศาลอย่างรวดเร็วจากการซื้อหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดแต่ประสบปัญหาชั่วคราวที่สามารถแก้ไขได้ อาทิเช่นหุ้นของอเมริกันเอ็กซเพรส หุ้นโค๊ก
และหุ้นอีกหลายตัวในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์มในอเมริกา
คำกล่าวที่หก “นานมาแล้ว เซอร์ไอแซ็คนิวตันให้กฎ 3
ข้อของการเคลื่อนที่ของวัตถุซึ่งเป็นผลงานที่เป็นอัจฉริยะ แต่ความสามารถของนิวตันไม่คลุมไปถึงเรื่องการลงทุน
เขาขาดทุนมากมายในวิกฤติการณ์ฟองสบู่เซ้าท์ซี เขากล่าวภายหลังว่า ‘ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของคน’ ถ้าเขาไม่ถูกทรมานจากการขาดทุนในครั้งนั้นมากเกินไป เขาคงได้ค้นพบกฎข้อที่สี่ของการเคลื่อนไหว นั่นคือ
‘สำหรับนักลงทุนโดยรวม ผลตอบแทนลดลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น’
” ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือ บัฟเฟตต์มองว่า ยิ่งเราซื้อขายหุ้นมากขึ้น เราก็จะต้องเสียต้นทุนค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับส่วนต่างราคาซื้อราคาขาย และอาจจะเกิดความผิดพลาดในด้านของจังหวะการซื้อขาย ทั้งหมดนั้นทำให้ยิ่งเทรดหุ้นมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งลดลง
คำกล่าวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ บัฟเฟตต์บอกว่า “เหนือสิ่งอื่นใด
คุณจะพบว่าใครว่ายน้ำล่อนจ้อนก็ต่อเมื่อกระแสน้ำลดลง” ความหมายก็คือ การที่จะดูว่าใครมีฝีมือในการลงทุนจริง ๆ หรือหลักการลงทุนแบบไหนได้ผลในระยะยาวจริง ๆ
นั้น
เราจะต้องดูตอนที่ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำหรือซบเซาลงมาก ๆ เพราะนั่นคือเวลาที่จะพิสูจน์ว่ากลยุทธ์การลงทุนใช้ได้ผลจริง
เพราะในยามที่ตลาดดีหรือช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นโดดเด่นเป็นกระทิงนั้น กลยุทธ์หลาย ๆ แบบอาจให้ผลดีหรือแม้แต่ดีกว่ากลยุทธ์ที่กูรูระดับโลกใช้กัน แต่ในยามที่ตลาดตกต่ำ
กลยุทธ์นั้นอาจจะทำให้ขาดทุนมหาศาลและทำให้ผลตอบแทนโดยรวมระยะยาวกลับแย่ลงหรือไม่ดีอย่างที่คิด
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของ “อัจฉริยะ” ของบัฟเฟตต์ ที่ได้ผ่านการทดสอบมาต่อเนื่องยาวนานคิดแล้วน่าจะถึงห้าสิบปีที่เขาลงทุนมา อย่างไรก็ตาม
เขาบอกว่า “คนชอบอ้างอิงความคิดของเรา
แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติตามแนวทางการลงทุนที่เราทำ” และนี่ก็คงเป็นเรื่องธรรมชาติของคน หลักการลงทุนแบบบัฟเฟตต์นั้น มันฝืนความรู้สึกของคนที่มักจะชอบ “ทำอะไรบางอย่าง” การซื้อแล้วถือหุ้นไว้เฉย ๆ แบบบัฟเฟตต์นั้น ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่าย
29
เมษายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น