ในตลาดหุ้นไทยนั้น
ใครที่ซื้อหุ้นแล้ว “ถือยาว” ก็เรียกกันว่า “นักลงทุน” ส่วนคนที่ซื้อแล้วขายในระยะเวลาอันสั้นก็มักถูกเรียกว่า “นักเก็งกำไร” เท่าไรถึงจะเรียกว่ายาวหรือสั้นก็ไม่ชัดเจนแล้วแต่ใครจะคิด บางทีตอนซื้อก็คิดว่าจะถือสั้น “เก็งกำไร” แต่พอหุ้นตกติดหุ้นก็เลยต้องถือยาวกลายเป็น “ลงทุน” การแบ่งแยกว่าใครเป็นนักเก็งกำไรหรือใครเป็นนักลงทุนนั้น บ่อยครั้งไม่ใคร่ชัดเจน แม้แต่เจ้าตัวเองบางทีก็ไม่รู้จริง คนจำนวนมากคิดว่าตนเองเป็นนักลงทุนแต่จริง
ๆ แล้วพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นการเก็งกำไรก็มีไม่น้อย
บทความนี้จะพยายามกำหนดว่าแนวความคิดหรือพฤติกรรมแบบไหนเป็นการเก็งกำไรหรือลงทุน ไม่ใช่เรื่องเดียวแต่หลาย ๆ เรื่อง
คนที่มีพฤติกรรมแบบเก็งกำไรมาก ๆ
ผมก็คิดว่าเขาเป็นนักเก็งกำไรโดยธรรมชาติ
คนที่มีพฤติกรรมของการลงทุนมาก
ผมก็สรุปว่าเขามีธรรมชาติเป็นนักลงทุน
ข้อแรก
ก็แน่นอน
นักเก็งกำไรมักจะถือหุ้นสั้น
แต่ละตัวมักจะถือไม่เกิน 3-6 เดือน
ส่วนนักลงทุนมักจะถือหุ้นแต่ละตัวมากกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย คนที่ถือครองหุ้นแทบจะว่าเฉลี่ยไม่เกิน 7 วัน
หรืออาจจะเรียกว่า Day
Trader หรือเล่นหุ้นรายวันนั้น
แทบไม่ต้องสงสัยว่าเป็นนักเก็งกำไรแน่นอนไม่ต้องดูพฤติกรรมข้ออื่นเลย
ข้อสอง
นักเก็งกำไรเวลาเล่นหุ้นต้องมี “ข่าว” หรือ “ข่าวลือ” หรือมี Story หรือเรื่องราวที่น่าสนใจที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นได้
ข่าวหรือเรื่องราวนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้นและมีผลต่อราคาหุ้น เช่น
ข่าวการจัดการหรือเปลี่ยนแปลงทางด้านการเงิน เช่น
การแจกวอแร้นต์ การแตกพาร์ การจ่ายปันผล
เป็นต้น
หรือไม่ก็เป็นข่าวทางด้านธุรกิจเช่นมีการขยายธุรกิจใหม่ ข่าวว่าจะได้รับงานใหม่ เป็นต้น ส่วนนักลงทุนนั้น ก็มักจะสนใจลงทุนในหุ้นที่มองว่าจะเติบโตไปได้ในระยะยาวด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของตัวกิจการเป็นหลัก
ข้อสาม
นักเก็งกำไรส่วนมากจะชอบเล่นหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็น “ขาขึ้น” หรือเป็นช่วงที่หุ้นบูม เพราะในยามนี้
หุ้นจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้มากกว่า
สำหรับนักเก็งกำไรบางกลุ่มแล้ว การซื้อหุ้น
“แพง” นั้นไม่มีปัญหาหากมันจะแพงขึ้นไปอีก ดีกว่าการซื้อหุ้น “ถูก” ที่มันจะถูกลงไปอีกในยามที่ตลาด “กำลังตก” ส่วนนักลงทุนนั้น พวกเขามักจะชอบซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาด “ปกติ” หรือบางคนอาจจะชอบซื้อในช่วงที่ตลาดตกต่ำเพราะเขาชอบซื้อหุ้นที่มีราคาถูกกว่าพื้นฐานที่ควรเป็น
ข้อสี่
นักเก็งกำไรมักจะชอบซื้อหุ้นของกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง เช่น
ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ อาทิเช่นสินแร่โลหะ พืชผลทางการเกษตร พลังงาน
ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิค การเดินเรือ
นอกจากนั้น
ยังชอบกิจการที่มียอดขายและกำไรผันผวนเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่มักทำให้ยอดขายแต่ละปีไม่แน่นอน ความคิดก็คือ
เล่นหุ้นพวกนี้ถ้า “เก็ง” หรือคาดการณ์ถูก หรือมีข้อมูล
“อินไซ้ต์”
ก็จะสามารถทำกำไรจากหุ้นได้มาก ตรงกันข้าม
นักลงทุนมักชอบกิจการที่มีความสม่ำเสมอของยอดขายและกิจการที่ทำให้สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ง่ายกว่า
ข้อห้า
นักเก็งกำไรชอบเจ้าของกิจการที่สนใจและ “ดูแลหุ้น” ดี นั่นคือ
ให้ข้อมูลกิจการและ “โปรโมต” หุ้นสม่ำเสมอ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
เจ้าของกิจการเป็นข่าวอยู่ในสื่อและหนังสือพิมพ์ธุรกิจและหุ้นสม่ำเสมอ ข่าวที่ออกมามักเป็นข่าวดีและสนับสนุนราคาหุ้น ส่วนนักลงทุนนั้น
อาจจะรู้สึกสงสัยและระมัดระวังถ้าพบว่าผู้บริหาร “เชียร์หุ้น” มากเกินไป
พวกเขาชอบเล่นหุ้นที่เจ้าของหรือผู้บริหารให้ข่าวพอดี ๆ ไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป และไม่เน้นเรื่องราคาหุ้นว่าถูกหรือแพง
ข้อหก
นักเก็งกำไรมักจะชอบใช้มาร์จินในการเล่นหุ้น
พวกเขาคิดว่านี่คือการทำเงินได้เร็วเป็นสองเท่าโดยที่ต้นทุนดอกเบี้ยนั้นต่ำมาก สิ่งที่พวกเขากลัวไม่ใช่ดอกเบี้ยแต่เป็นการถูกเรียกหลักประกันเพิ่มในกรณีที่หุ้นตก
ส่วนนักลงทุนนั้นมักจะไม่ใช้มาร์จินในการลงทุน พวกเขาอาจจะไม่ได้คิดว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนมากพอที่จะคุ้มกับค่าดอกเบี้ยที่ต้องเสีย
หรือถึงคุ้มในแง่เม็ดเงินแต่ก็ไม่คุ้มกับความเสี่ยงจากการเป็นหนี้ และที่สำคัญ
เวลาหุ้นตก
การขาดทุนก็อาจจะเพิ่มเป็นสองเท่าเช่นกัน
ข้อเจ็ด นักเก็งกำไรมักจะเล่นหุ้นเป็นตัว ๆ คือในแต่ละช่วงเวลานั้นมักมีหุ้นจำนวนน้อยมาก
บางทีก็มีเพียงตัวเดียวสำหรับคนที่พอร์ตยังมีขนาดเล็ก นั่นก็คือ
พวกเขาจะเล่นหุ้นตัวที่ “กำลังร้อน” เมื่อได้กำไรหรือคิดว่าพลาดแล้วซึ่งมักจะใช้เวลาไม่นาน เขาก็จะขายทิ้งแล้วไปเล่นตัวใหม่ ส่วนนักลงทุนนั้น พวกเขาจะลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัวเป็นพอร์ตโฟลิโอ
จะมีการขายหุ้นบางตัวแต่ก็มักจะเปลี่ยนไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่คิดว่าดีกว่า
ข้อแปด
หุ้นที่นักเก็งกำไรจะเล่นนั้นจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงหรือเคยมีสภาพคล่องสูง
พวกเขาเห็นว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นในช่วงที่เขาจะขายทิ้งเมื่อได้กำไรตามเป้าหมายแล้ว ส่วนนักลงทุนนั้น ความจำเป็นต้องมีสภาพคล่องสูงนั้นมีน้อยกว่ามาก
ข้อเก้า
เป็นเรื่องของแนวความคิดที่ผมสังเกตเห็นจากคนที่เป็นนักเก็งกำไรที่โดดเด่นบางคนหรือบางกลุ่ม นั่นคือ
นักเก็งกำไรเชื่อว่า ข้อแรก การเล่นหุ้นสั้นไม่เสี่ยงแต่การลงทุนยาวนั้นเสี่ยง เหตุผลเพราะในระยะยาวแล้วเรา “ไม่รู้” คาดไม่ได้
ข้อสอง
ถ้าซื้อแล้วขาดทุนต้องขายตัดขาดทุนเร็วแต่ถ้ามีกำไรก็ let profit run คือถือให้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ
ก่อนจะขายเมื่อเห็นว่าราคาจะเริ่มกลับตัว
อย่างไรก็ตาม นักเก็งกำไรรายย่อย ๆ
จำนวนมากก็ทำตรงกันข้าม ข้อสาม
นักเก็งกำไรมักจะชอบเล่นหุ้นกันเป็นหมู่หรือรวมกลุ่มกันหลาย ๆ คน
นี่อาจจะเป็นความคิดว่าการรวมกันเล่นจะมีผลต่อราคาหุ้นได้มากกว่าทำอยู่คนเดียว และข้อสี่
นักเก็งกำไรนั้น
เชื่อในเรื่องของจิตวิทยาตลาดและมวลชนว่ามีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าพื้นฐานระยะยาวของกิจการ ดังนั้น
นักเก็งกำไรเวลาซื้อขายหุ้นมักจะคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ และนักเก็งกำไรที่เป็น “ผู้นำ” อาจจะต้องสร้างสถานการณ์แบบนั้นให้เกิดขึ้นด้วย
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของพฤติกรรมว่าเป็นอาการของนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน โดยทั่วไป
เราทุกคนต่างก็มีพฤติกรรมทั้งสองแบบในตัว
การที่จะบอกว่าใครน่าจะเป็นนักเก็งกำไรหรือใครน่าจะเป็นนักลงทุนนั้น จึงต้องดูภาพรวมว่าเป็นอย่างไร ถ้าพิจารณาหรือสังเกตดูแล้วพบว่าเรามักจะถือหุ้นแต่ละตัวค่อนข้างสั้นทั้ง
ๆ ที่ในใจเราตั้งใจจะถือยาวเมื่อซื้อ นอกจากนั้น
เรายังมักมีหุ้นเพียง 1 หรือ 2 ตัว
ไม่ใคร่ได้ถือเกินนั้น
เรามักซื้อหุ้นเพราะมันกำลังมีข่าวและหุ้นตัวที่ซื้อเราก็มักได้มาจากกลุ่มเพื่อนที่ชักชวนให้ซื้อเพราะมันกำลังมีข่าวดี
หุ้นที่เราเล่นมักจะมีปริมาณการซื้อขายสูงติดหนึ่งในสิบอันดับทั้งที่เป็นหุ้นตัวเล็ก ต่าง ๆ
เหล่านี้
ก็อาจจะเป็นสิ่งที่บอกได้ว่า
แท้ที่จริงแล้วเราเป็น “นักเก็งกำไร” ทั้ง ๆ ที่ใจเรานั้นบอกว่าเราเป็น
20 กันยายน
2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น