วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

อนาคตของสื่อ



สื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และแมกกาซีน นั้น  เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการโน้มน้าวจิตใจคนให้เห็นด้วย หรือคัดค้าน  กับประเด็นที่มีการนำเสนอ  ประเด็นที่นำเสนอนั้น  เป็นได้ทุกอย่าง  ตั้งแต่เรื่องของการเมือง  สังคม  เศรษฐกิจ  และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน  ดังนั้นจึงมีคำพูดที่ยอมรับกันแพร่หลายว่า   ผู้คุมสื่อคือผู้ที่คุมอำนาจ

อำนาจของสื่อในโลกของทุนนิยมนั้น  แน่นอน  สามารถ  ทำเงิน  ได้  บริษัทสื่อที่  ทรงอิทธิพลนั้น  สามารถทำเงินได้มหาศาล  วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้มองเห็นจุดนี้ก่อนคนอื่นและได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทวอชิงตันโพสต์ในช่วงที่ราคาหุ้นยังต่ำมากเมื่อหลายสิบปีก่อน  หลังจากนั้น  ราคาหุ้นของโพสต์ก็ปรับตัวขึ้นมามากและกลายเป็น ตำนานการลงทุนหนึ่งของบัฟเฟตต์  ต่อมา เขาก็ยังได้ลงทุนในหุ้นของบริษัทโทรทัศน์ชั้นนำที่ก้าวขึ้นมาโดดเด่นแทนที่หนังสือพิมพ์  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเร็ว ๆ  นี้ บัฟเฟตต์เองก็ยอมรับว่า  ธุรกิจและความสามารถในการทำเงินของหุ้นสื่อนั้น เปลี่ยนไปแล้ว  มันไม่ดีเหมือนก่อนเพราะเทคโนโลยี่การสื่อสารมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  สื่อมีการขยายตัวออกไปกว้างขวางมากผ่านอินเตอร์เน็ตและเคเบิลทีวีที่สามารถทำได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก สิ่งเหล่านี้กัดกร่อนกำไรของสื่อยุคเก่ามหาศาล

ลองมาดูกิจการสื่อของเมืองไทยว่าอนาคตจะไปทางไหน  เริ่มจากหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์  ในเมืองไทยนั้น  เป็นที่ยอมรับว่าคนไทยไม่ใคร่อ่านหนังสือมากนัก  ดังนั้นตลาดของหนังสือพิมพ์จึงไม่ใหญ่เท่าที่ควร   อย่างไรก็ตาม ในอดีตหนังสือพิมพ์ค่อนข้างจะมีบทบาทพอสมควรเนื่องจากการเปิดหนังสือพิมพ์ทำได้ยาก  ดังนั้น  หนังสือพิมพ์ที่ติดตลาดจึงพอมีกำไร  ส่วนหนังสือพิมพ์ที่ได้รับความนิยมน้อยก็มักจะขาดทุน  แต่แม้ว่าหนังสือพิมพ์จะขาดทุน  บ่อยครั้งมันก็มักจะไม่ถูกปิดตัวลง  สาเหตุก็เพราะว่า  หนังสือพิมพ์จำนวนไม่น้อย  เกิดขึ้นและดำรงอยู่ด้วยเหตุผลหลักก็คือ  มันเป็นฐาน  อำนาจ  ของเจ้าของ  ไม่ได้เป็นธุรกิจที่หวังกำไร  ดังนั้น  ปริมาณหรืออุปทานของหนังสือพิมพ์จึงมักจะมีสูงกว่าความต้องการหนังสือพิมพ์เสมอ  กำไรของหนังสือพิมพ์จึงไม่ดี


อนาคตของหนังสือพิมพ์นั้นยิ่ง มืดมนกว่าปัจจุบัน  สาเหตุก็เพราะว่ามีการเติบโตของสื่ออินเตอร์เน็ตที่ทำให้ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือพิมพ์แต่สามารถเข้าไปอ่านข่าวในเน็ตได้  ข่าวในอินเตอร์เน็ตนั้นสะดวกและรวดเร็วกว่าหนังสือพิมพ์มาก  ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้อินเตอร์เน็ตตั้งแต่เด็กจะอยู่ห่างจากหนังสือพิมพ์ออกไปทุกที  ส่วนคนที่มีอายุมากและยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือพิมพ์เองนั้น  ผมก็คิดว่าน่าจะอ่านหนังสือพิมพ์น้อยลงและอ่านข่าวจากอินเตอร์เน็ตมากขึ้น  สรุปแล้ว  หนังสือพิมพ์นั้นผมคิดว่าเป็นอุตสาหกรรมที่กำลัง ตกดิน

ธุรกิจแมกกาซีนนั้น  มักมีลูกค้าหรือผู้อ่านชัดเจน  และสิ่งที่จะมาทดแทนยังไม่ชัดเจน  ดังนั้น แมกกาซีนที่ติดตลาดก็ยังสามารถรักษาลูกค้าและทำกำไรได้  อย่างไรก็ตาม  การเติบโตของแมกกาซีนนั้นทำได้ยากมากเนื่องจากความสนใจของคนรุ่นใหม่นั้น  เน้นไปที่สื่อสารประเภทอื่นโดยเฉพาะที่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและเป็นแบบมัลติมีเดีย  ดังนั้น  ธุรกิจนิตยสารต่าง ๆ  สำหรับผมแล้วก็คงไม่ดีนัก  และแม้ว่าจะไม่ถึงกับ ตกดินแต่ก็คงจะโตช้ามาก

ธุรกิจทีวีมวลชนซึ่งออกอากาศให้ชมฟรีนั้น  เป็นธุรกิจที่ดีมากจนถึงปัจจุบัน  สาเหตุหนึ่งนั้นเป็นเพราะมันมีสถานีไม่กี่แห่งและมันฟรี  ดังนั้น  มันจึงมี ลูกค้าหรือผู้ชมมากมายเป็นล้าน ๆ  คน  ดังนั้น  แต่ละสถานีจึงสามารถขายโฆษณาได้เป็นกอบเป็นกำ  แต่ต้นทุนในการทำรายการและการส่งออกอากาศนั้นไม่สูงนัก  กำไรของบริษัททีวีจึงค่อนข้างดี  นอกจากนั้นหลังจากการลงทุนไปในครั้งแรกแล้ว  สถานีโทรทัศน์ก็ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มอีก  และการบำรุงรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ในการส่งสัญญาณทีวีก็มีน้อยมาก  ทำให้กระแสเงินสดของกิจการดีมาก  ส่งผลให้หุ้นบริษัททีวีสามารถจ่ายปันผลได้ค่อนข้างสูง

แต่อนาคตของธุรกิจฟรีทีวีนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน  เหตุผลก็คือ  ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี่การสื่อสารและอินเตอร์เน็ต  ทำให้เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมสามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเป็นร้อย ๆ  ช่องและด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก  ผู้ชมก็สามารถรับสัญญาณเคเบิลทีวีหรือทีวีดาวเทียมได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก  ดังนั้น  ฟรีทีวีจึงต้องเผชิญกับคู่แข่งใหม่จำนวนมหาศาล  ยิ่งไปกว่านั้น  คนจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ก็เริ่มหันเหจากการชมทีวีไปเป็นการเข้าไปอ่านหรือชมข่าวสารข้อมูลและบันเทิงทางอินเตอร์เน็ต  ปรากฏการณ์เหล่านี้เริ่มขึ้นแล้ว  ว่าที่จริงในประเทศที่เจริญแล้วก็พบว่าโฆษณาที่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มท้าทายทีวีอย่างมีนัยสำคัญ  เมืองไทยเองในที่สุดก็หนีไม่พ้น  แม้ว่าในขั้นนี้ยังมีแค่เคเบิลทีวีที่ดูเหมือนว่าจะมีบทบาทท้าทายฟรีทีวีอย่างมีนัยสำคัญ  อย่างไรก็ตาม  สำหรับผมแล้ว  อนาคตของฟรีทีวีไม่สดใสนัก

ควบคู่ไปกับทีวีก็คงเป็นเรื่องของวิทยุ  นี่เป็นสื่อที่พอใช้ได้เฉพาะสำหรับคลื่นที่ติดตลาด  อย่างไรก็ตาม  วิทยุไม่ใช่ธุรกิจที่ใหญ่อีกต่อไป  ผู้ฟังวิทยุนั้น  จำนวนมากฟังในขณะขับรถที่ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้นอกจากฟัง  ดังนั้น  ธุรกิจวิทยุนั้น  เป็นได้เฉพาะ ธุรกิจเสริม  ของธุรกิจอื่น  เช่น ทีวี   บันเทิง  เป็นต้นและไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  วิทยุ นั้น  ไม่ใช่ธุรกิจที่จะเติบโตได้อีกต่อไป

อนาคตสำหรับธุรกิจสื่อนั้น  ถ้าเป็นในระดับโลกก็คือ  สื่อยุคใหม่  เช่นพวกเว็บไซ้ต์อย่างกูเกิล และอื่น ๆ   สื่อที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น  จะทำกำไรได้อย่างมหาศาลแต่ก็จะมีจำนวนน้อยมาก  เพราะสื่อยุคใหม่นั้นมักจะเป็นลักษณะ  ผู้ชนะกินรวบนั่นคือ  ผู้แพ้จะถูกบีบให้ออกจากตลาดหมด  ทำให้ผู้ชนะได้ลูกค้ามากขึ้น ๆ และได้กำไรทบทวีขึ้น  ส่งผลให้หุ้นมีค่ามหาศาล  อย่างไรก็ตาม  หุ้นลักษณะดังกล่าวนั้น  มักจะมีการให้บริการทั่วโลก  ดังนั้น  จึงเป็นการยากสำหรับหุ้นสื่อของประเทศไทยที่จะสามารถต่อสู้ได้  ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ  บริษัทและหุ้นสื่อนั้น  เหนื่อยครับ

12  เมษายน  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น