หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ผมจะพูดถึงนั้น ผมรวมถึงกลุ่มต่อไปนี้คือ 1)
กลุ่มที่เป็นธนาคารพาณิชย์ 2) กลุ่มที่ทำธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง
ซึ่งก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเพื่อซื้อสินค้าเงินผ่อนทั้งหลาย 3) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และ 4)
กลุ่มบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
ทั้งหมดนี้ผมแทบไม่ได้ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนเลยในระยะสิบปีที่ผ่านมาเพราะผมเห็นว่าหุ้นในกลุ่มเหล่านี้มีความเสี่ยงที่ผมไม่ใคร่สบายใจนักที่จะลงทุนระยะยาว และต่อไปนี้คือความคิดของผม
ก่อนที่จะพูดถึงความเสี่ยงผมอยากจะบอกว่า
ที่จริงหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินนั้นส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีน่าประทับใจ ถ้าดูจากกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็จะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่สูงลิ่วเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นในอุตสาหกรรมอื่น
ๆ ในตลาดหลักรัพย์
และเมื่อมองดูถึงความสม่ำเสมอของกำไรก็เห็นว่าบริษัทเหล่านั้นทำได้ค่อนข้างดีพอจะบอกได้ว่าเป็นผลประกอบการที่สามารถคาดการณ์ได้ ประกอบกับการที่บริษัทเหล่านี้มีลูกค้าเป็น “ล้าน ๆ” คน ดังนั้น
ความผันผวนของรายได้ก็มักจะมีน้อย ข้อสรุปก็คือ โดยทั่วไปแล้ว
เราสามารถหา “มูลค่าที่แท้จริง” ของกิจการ
ได้ไม่ยากนักเทียบกับกิจการอื่น ๆ
อีกหลายอย่าง พูดง่าย ๆ สามารถใช้ค่า PE และ/หรือ
PB มาวัดค่าความถูก/แพงของหุ้นได้
ข้อดีของหุ้นสถาบันการเงินอีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่แล้วบริษัทเหล่านั้นมีกฎหมายและหน่วยงานของรัฐควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้น
ข้อมูลต่าง ๆ
ของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีการเงินนั้นค่อนข้างที่จะเชื่อถือได้ เช่นเดียวกัน
ผู้บริหารไม่สามารถนำเงินไป “ถลุง” ในกิจการอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ง่ายนัก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ
นโยบายจ่ายปันผลก็มักจะดีเหตุเพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีเงินสดเหลือเฟือที่จะจ่ายปันผล และที่น่าสนใจสุดยอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นเหล่านี้
จำนวนมากมีค่า PE และ PB ไม่สูง บางบริษัทต่ำมาก ดูไปแล้วน่าจะเป็นหุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้น “Value” ที่น่าซื้อลงทุนระยะยาว
แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจนักที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินก็คือ
ประการแรก
หุ้นสถาบันการเงินยกเว้นบริษัทหลักทรัพย์นั้น มีการกู้หรือรับฝากเงินจำนวนมาก อัตราการกู้ยืม ในกรณีธนาคารพาณิชย์นั้นสูงมาก อาจจะเป็นเกือบสิบเท่าของเงินในส่วนของผู้ถือหุ้น การกู้มากนั้นเป็นความเสี่ยงมหาศาล
เพราะถ้าเงินที่กู้มาและนำไปปล่อยกู้หรือลงทุนต่อเกิดเสียหายกลายเป็น NPL หรือหนี้สูญเพียงแค่ 10%
แบงค์นั้นก็หมดทุนหรือล้มแล้ว
จริงอยู่ที่ว่าอัตราการเกิด NPL ของแบงค์ในภาวะปกตินั้นมักจะมีน้อยมาก อาจจะเพียง 1-2%
และแบงค์ก็มักจะมีการกันสำรองหนี้สูญทุกปีจนเพียงพอหรือเกินพอ แต่นั่นก็คือสภาวการณ์ “ปกติ” แต่ในสถานการณ์ “วิกฤติ” เช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี
2540 ลูกหนี้ของแบงค์ต่างก็ “ล้มละลาย” เป็นลูกโซ่ และแบงค์เกือบทั้งหมดแทบเอาตัวไม่รอด หลายแห่งก็ล้มลงไป และนี่ก็คือความเสี่ยงของหุ้นแบงค์
หุ้นของบริษัทลีสซิ่งและบริษัทที่ให้กู้สำหรับซื้อสินค้าเงินผ่อนนั้น ส่วนใหญ่ก็มีการกู้เงินไม่ต่ำกว่า 4-5
เท่าของเงินทุนของตนเอง การปล่อยกู้ให้กับลูกค้านั้น บริษัทมักจะคิดดอกเบี้ยสูงกว่าแบงค์มากเพราะเป็นการปล่อยกู้ให้กับคนที่มีรายได้น้อยหรือคนที่ยังไม่มีกำลังที่จะซื้อสินค้าราคาสูงเช่นรถยนต์แต่อยากได้สินค้ามาใช้ก่อน ดังนั้น
โอกาสที่ลูกหนี้จะกลายเป็นหนี้เสียก็จะสูงกว่ากรณีของแบงค์ ในกรณีที่เศรษฐกิจโดยทั่วไปดี อัตราหนี้เสียก็มักจะไม่สูงนักทำให้ผลประกอบการของบริษัทดี แต่ในบางช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี
อาจจะเป็นเพราะพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ NPL ก็จะเกิดขึ้นจำนวนมาก ผลก็คือ
บริษัทอาจจะขาดทุนหนัก
บางแห่งอาจจะไปไม่รอด นอกจากนั้น
เนื่องจากการที่บริษัทในกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกถือว่าเป็นสถาบันการเงินที่มีการรับเงินฝากจากประชาชน การควบคุมจากทางการก็มีน้อย ดังนั้น
การบริหารงานภายในบริษัทก็อาจจะหละหลวมหรือมีการทุจริตได้ง่าย
นี่ก็เป็นความเสี่ยงในด้านการบริหารงานที่เพิ่มขึ้นมาจากเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจ
ข้อสรุปสั้น ๆ
ของผมสำหรับหุ้นสองกลุ่มนี้ก็คือ “มันเป็นธุรกิจที่ดีจนถึงวันที่มันเจ๊ง” ดังนั้น
หากจะลงทุนในหุ้นสองกลุ่มนี้ก็คงต้องพิจารณาและติดตามว่ามันจะมีโอกาสที่จะเจ๊งไหม
ทั้งจากเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและเรื่องของตัวบริษัทในด้านของการบริหารงานภายใน
และนำมาเทียบกับราคาหุ้นที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุน
หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์นั้น
ความเสี่ยงอยู่ที่การเปิด “เสรี” ธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งจะทำให้บริษัทแต่ละแห่งสามารถคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นได้อย่างอิสระ
นี่จะทำให้รายได้หลักของโบรกเกอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะมีโบรกเกอร์บางแห่งที่มีลูกค้าและคำสั่งซื้อขายหุ้นน้อยเสนออัตราค่านายหน้าในอัตราที่ต่ำเพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อขายหุ้นกับตนเอง เมื่อคู่แข่งถูก “ตัดราคา”
ค่าบริการ
เขาก็จะต้องเสนอราคาที่ต่ำลงเพื่อรักษาลูกค้า ผลก็คือราคาค่าบริการก็จะต่ำลงเรื่อย ๆ จนอาจจะเข้าใกล้ศูนย์ในบางกรณี
กำไรของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะลดลงและไม่สามารถคาดได้ว่าจะเป็นเท่าไร นอกจากเรื่องของค่าคอมมิชชั่นแล้ว ก็อาจจะมีบริษัทหลักทรัพย์ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ที่จะมาเปิดให้บริการเพิ่ม ซึ่งก็จะทำให้เกิดการแย่งส่วนแบ่งตลาดของโบรกเกอร์เดิมอีก ดังนั้น
นี่คือความเสี่ยงสำคัญที่คาดการณ์ได้ยากสำหรับหุ้นบริษัทหลักทรัพย์
หุ้นกลุ่มสุดท้ายก็คือ
หุ้นของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
หุ้นในกลุ่มประกันภัยนั้น
ส่วนใหญ่ก็คือการประกันภัยรถยนต์
ส่วนน้อยและมักจะเป็นเครือของแบงค์จะมีรับประกันภัยบ้านและอสังหาริมทรัพย์อื่นเช่นอาคารและโรงงานต่างๆ ด้วย
ในด้านของการประกันภัยรถยนต์นั้น
การแข่งขันสูงมาก
ทำให้บริษัทส่วนใหญ่มีกำไรที่ไม่ดีนัก
บางปีก็ขาดทุน ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นกิจการที่ดีอะไรนัก
ส่วนบริษัทประกันภัยที่เป็นเครือของธนาคารนั้น
มักจะได้เปรียบเนื่องจากจะได้ลูกค้าที่ถูกส่งต่อมาจากแบงค์ที่ให้เงินกู้และบังคับให้ลูกค้าทำประกันทรัพย์สินที่นำมาจำนองที่มักเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่โอกาสในการเคลมต่ำ ผลก็คือบริษัทเหล่านี้มักจะมีกำไรดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หุ้นก็มักจะไม่ถูก
หุ้นบริษัทประกันชีวิตในตลาดมีน้อยแต่เป็นหุ้นที่คึกคักมากในช่วงเร็ว
ๆ นี้สำหรับ VI หลายคน เหตุผลก็เพราะว่าธุรกิจประกันชีวิตโดยเฉพาะในช่วงนี้มีการเติบโตค่อนข้างสูง นอกจากนั้น
การที่บริษัทเป็นบริษัทในเครือแบงค์
ทำให้สามารถขยายธุรกิจไปได้ง่ายโดยทำผ่านพนักงานของแบงค์ที่เรียกว่า “แบงค์แอสชัวรัน” นั่นคือ
ให้พนักงานแบงค์เป็นคนช่วยขายให้กับลูกค้าที่มีเงิน การขายทำได้ง่ายเพราะแบงค์มีข้อมูลของลูกค้าครบ
ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมากทำให้การชักชวนคนทำประกันชีวิตทำได้ง่ายเพราะผลตอบแทนจากกรมธรรม์ดีกว่าการฝากเงิน อย่างไรก็ตาม
หุ้นประกันชีวิตมีความเสี่ยงอยู่บ้างเพราะต้องเอาเงินเบี้ยประกันไปลงทุน แม้ว่ามักจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นส่วนใหญ่แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่
เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ผมยังไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ ราคาหุ้นนั้น
ไม่ถูกเลย
โดยเฉพาะเมื่อดูจากค่า PB ของหุ้น
29 มิถุนายน
2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น