วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

หุ้นสถาบันการเงิน



หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ผมจะพูดถึงนั้น  ผมรวมถึงกลุ่มต่อไปนี้คือ  1)  กลุ่มที่เป็นธนาคารพาณิชย์  2)  กลุ่มที่ทำธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง ซึ่งก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเพื่อซื้อสินค้าเงินผ่อนทั้งหลาย  3) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  และ 4) กลุ่มบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต   ทั้งหมดนี้ผมแทบไม่ได้ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนเลยในระยะสิบปีที่ผ่านมาเพราะผมเห็นว่าหุ้นในกลุ่มเหล่านี้มีความเสี่ยงที่ผมไม่ใคร่สบายใจนักที่จะลงทุนระยะยาว  และต่อไปนี้คือความคิดของผม

    ก่อนที่จะพูดถึงความเสี่ยงผมอยากจะบอกว่า  ที่จริงหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินนั้นส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีน่าประทับใจ  ถ้าดูจากกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็จะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่สูงลิ่วเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในตลาดหลักรัพย์   และเมื่อมองดูถึงความสม่ำเสมอของกำไรก็เห็นว่าบริษัทเหล่านั้นทำได้ค่อนข้างดีพอจะบอกได้ว่าเป็นผลประกอบการที่สามารถคาดการณ์ได้   ประกอบกับการที่บริษัทเหล่านี้มีลูกค้าเป็น  ล้าน ๆ”  คน  ดังนั้น  ความผันผวนของรายได้ก็มักจะมีน้อย  ข้อสรุปก็คือ  โดยทั่วไปแล้ว  เราสามารถหา มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ  ได้ไม่ยากนักเทียบกับกิจการอื่น ๆ  อีกหลายอย่าง  พูดง่าย ๆ  สามารถใช้ค่า PE และ/หรือ PB มาวัดค่าความถูก/แพงของหุ้นได้

    ข้อดีของหุ้นสถาบันการเงินอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ส่วนใหญ่แล้วบริษัทเหล่านั้นมีกฎหมายและหน่วยงานของรัฐควบคุมอย่างเข้มงวด   ดังนั้น  ข้อมูลต่าง ๆ  ของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีการเงินนั้นค่อนข้างที่จะเชื่อถือได้  เช่นเดียวกัน   ผู้บริหารไม่สามารถนำเงินไป ถลุง”  ในกิจการอื่น ๆ  ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ง่ายนัก   อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  นโยบายจ่ายปันผลก็มักจะดีเหตุเพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีเงินสดเหลือเฟือที่จะจ่ายปันผล  และที่น่าสนใจสุดยอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  หุ้นเหล่านี้  จำนวนมากมีค่า PE และ PB ไม่สูง  บางบริษัทต่ำมาก  ดูไปแล้วน่าจะเป็นหุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้น  “Value”  ที่น่าซื้อลงทุนระยะยาว  แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจนักที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินก็คือ
    ประการแรก  หุ้นสถาบันการเงินยกเว้นบริษัทหลักทรัพย์นั้น  มีการกู้หรือรับฝากเงินจำนวนมาก  อัตราการกู้ยืม  ในกรณีธนาคารพาณิชย์นั้นสูงมาก  อาจจะเป็นเกือบสิบเท่าของเงินในส่วนของผู้ถือหุ้น  การกู้มากนั้นเป็นความเสี่ยงมหาศาล  เพราะถ้าเงินที่กู้มาและนำไปปล่อยกู้หรือลงทุนต่อเกิดเสียหายกลายเป็น NPL หรือหนี้สูญเพียงแค่ 10%  แบงค์นั้นก็หมดทุนหรือล้มแล้ว  จริงอยู่ที่ว่าอัตราการเกิด NPL ของแบงค์ในภาวะปกตินั้นมักจะมีน้อยมาก  อาจจะเพียง 1-2%  และแบงค์ก็มักจะมีการกันสำรองหนี้สูญทุกปีจนเพียงพอหรือเกินพอ  แต่นั่นก็คือสภาวการณ์  ปกติ”   แต่ในสถานการณ์  วิกฤติ”  เช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540  ลูกหนี้ของแบงค์ต่างก็ ล้มละลาย”  เป็นลูกโซ่  และแบงค์เกือบทั้งหมดแทบเอาตัวไม่รอด หลายแห่งก็ล้มลงไป  และนี่ก็คือความเสี่ยงของหุ้นแบงค์

    หุ้นของบริษัทลีสซิ่งและบริษัทที่ให้กู้สำหรับซื้อสินค้าเงินผ่อนนั้น   ส่วนใหญ่ก็มีการกู้เงินไม่ต่ำกว่า 4-5 เท่าของเงินทุนของตนเอง  การปล่อยกู้ให้กับลูกค้านั้น  บริษัทมักจะคิดดอกเบี้ยสูงกว่าแบงค์มากเพราะเป็นการปล่อยกู้ให้กับคนที่มีรายได้น้อยหรือคนที่ยังไม่มีกำลังที่จะซื้อสินค้าราคาสูงเช่นรถยนต์แต่อยากได้สินค้ามาใช้ก่อน  ดังนั้น  โอกาสที่ลูกหนี้จะกลายเป็นหนี้เสียก็จะสูงกว่ากรณีของแบงค์   ในกรณีที่เศรษฐกิจโดยทั่วไปดี  อัตราหนี้เสียก็มักจะไม่สูงนักทำให้ผลประกอบการของบริษัทดี  แต่ในบางช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี    อาจจะเป็นเพราะพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ  NPL ก็จะเกิดขึ้นจำนวนมาก  ผลก็คือ  บริษัทอาจจะขาดทุนหนัก  บางแห่งอาจจะไปไม่รอด   นอกจากนั้น  เนื่องจากการที่บริษัทในกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกถือว่าเป็นสถาบันการเงินที่มีการรับเงินฝากจากประชาชน  การควบคุมจากทางการก็มีน้อย  ดังนั้น  การบริหารงานภายในบริษัทก็อาจจะหละหลวมหรือมีการทุจริตได้ง่าย  นี่ก็เป็นความเสี่ยงในด้านการบริหารงานที่เพิ่มขึ้นมาจากเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจ

    ข้อสรุปสั้น ๆ ของผมสำหรับหุ้นสองกลุ่มนี้ก็คือ  มันเป็นธุรกิจที่ดีจนถึงวันที่มันเจ๊ง”  ดังนั้น  หากจะลงทุนในหุ้นสองกลุ่มนี้ก็คงต้องพิจารณาและติดตามว่ามันจะมีโอกาสที่จะเจ๊งไหม  ทั้งจากเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและเรื่องของตัวบริษัทในด้านของการบริหารงานภายใน  และนำมาเทียบกับราคาหุ้นที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุน

    หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์นั้น  ความเสี่ยงอยู่ที่การเปิด เสรีธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งจะทำให้บริษัทแต่ละแห่งสามารถคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นได้อย่างอิสระ  นี่จะทำให้รายได้หลักของโบรกเกอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  เนื่องจากจะมีโบรกเกอร์บางแห่งที่มีลูกค้าและคำสั่งซื้อขายหุ้นน้อยเสนออัตราค่านายหน้าในอัตราที่ต่ำเพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อขายหุ้นกับตนเอง  เมื่อคู่แข่งถูก ตัดราคาค่าบริการ  เขาก็จะต้องเสนอราคาที่ต่ำลงเพื่อรักษาลูกค้า  ผลก็คือราคาค่าบริการก็จะต่ำลงเรื่อย ๆ  จนอาจจะเข้าใกล้ศูนย์ในบางกรณี   กำไรของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะลดลงและไม่สามารถคาดได้ว่าจะเป็นเท่าไร   นอกจากเรื่องของค่าคอมมิชชั่นแล้ว  ก็อาจจะมีบริษัทหลักทรัพย์  โดยเฉพาะจากต่างประเทศ  ที่จะมาเปิดให้บริการเพิ่ม  ซึ่งก็จะทำให้เกิดการแย่งส่วนแบ่งตลาดของโบรกเกอร์เดิมอีก   ดังนั้น  นี่คือความเสี่ยงสำคัญที่คาดการณ์ได้ยากสำหรับหุ้นบริษัทหลักทรัพย์

    หุ้นกลุ่มสุดท้ายก็คือ  หุ้นของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต  หุ้นในกลุ่มประกันภัยนั้น  ส่วนใหญ่ก็คือการประกันภัยรถยนต์  ส่วนน้อยและมักจะเป็นเครือของแบงค์จะมีรับประกันภัยบ้านและอสังหาริมทรัพย์อื่นเช่นอาคารและโรงงานต่างๆ  ด้วย  ในด้านของการประกันภัยรถยนต์นั้น  การแข่งขันสูงมาก  ทำให้บริษัทส่วนใหญ่มีกำไรที่ไม่ดีนัก  บางปีก็ขาดทุน  ดังนั้น  โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นกิจการที่ดีอะไรนัก  ส่วนบริษัทประกันภัยที่เป็นเครือของธนาคารนั้น   มักจะได้เปรียบเนื่องจากจะได้ลูกค้าที่ถูกส่งต่อมาจากแบงค์ที่ให้เงินกู้และบังคับให้ลูกค้าทำประกันทรัพย์สินที่นำมาจำนองที่มักเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่โอกาสในการเคลมต่ำ  ผลก็คือบริษัทเหล่านี้มักจะมีกำไรดีต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม หุ้นก็มักจะไม่ถูก

    หุ้นบริษัทประกันชีวิตในตลาดมีน้อยแต่เป็นหุ้นที่คึกคักมากในช่วงเร็ว ๆ  นี้สำหรับ VI หลายคน  เหตุผลก็เพราะว่าธุรกิจประกันชีวิตโดยเฉพาะในช่วงนี้มีการเติบโตค่อนข้างสูง  นอกจากนั้น  การที่บริษัทเป็นบริษัทในเครือแบงค์  ทำให้สามารถขยายธุรกิจไปได้ง่ายโดยทำผ่านพนักงานของแบงค์ที่เรียกว่า  แบงค์แอสชัวรัน”  นั่นคือ  ให้พนักงานแบงค์เป็นคนช่วยขายให้กับลูกค้าที่มีเงิน   การขายทำได้ง่ายเพราะแบงค์มีข้อมูลของลูกค้าครบ  ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมากทำให้การชักชวนคนทำประกันชีวิตทำได้ง่ายเพราะผลตอบแทนจากกรมธรรม์ดีกว่าการฝากเงิน  อย่างไรก็ตาม  หุ้นประกันชีวิตมีความเสี่ยงอยู่บ้างเพราะต้องเอาเงินเบี้ยประกันไปลงทุน  แม้ว่ามักจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นส่วนใหญ่แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่   เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ผมยังไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ  ราคาหุ้นนั้น  ไม่ถูกเลย  โดยเฉพาะเมื่อดูจากค่า  PB ของหุ้น   
     
29  มิถุนายน  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น