วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

หนึ่งวันของบัฟเฟตต์



ครั้งหนึ่งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์  มีคนถามว่าวัน ๆ หนึ่ง วอเร็น บัฟเฟตต์ ทำอะไรบ้าง  บัฟเฟตต์ตอบว่า ส่วนใหญ่เขาอ่านหนังสือและพูดโทรศัพท์  เสร็จแล้วบัฟเฟตต์ก็หันไปถาม ชาร์ลี มังเกอร์ เพื่อนซี้และรองประธานของเบิร์กไชร์ ว่าเขาทำอะไรในแต่ละวัน  มังเกอร์ตอบว่า

 คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ประจำการอยู่ในหน่วยของทหารที่ไม่มีอะไรทำ   มังเกอร์เล่าต่อว่า  นายพลคนหนึ่งได้เข้ามาพบกับกับตันกลอทซ์ซึ่งเป็นเจ้านายของเพื่อนผมและก็ถามว่า  กับตันกลอทซ์  คุณทำอะไรบ้าง  เจ้านายของเพื่อนผมตอบว่า ไม่มีอะไรซักอย่างเลยครับ  ท่านนายพลโกรธมากและหันมาถามเพื่อนผมว่า แล้วแกล่ะทำอะไร  เพื่อนผมตอบว่า  ผมก็ช่วยงานกับตันกลอทซ์  และนั่นก็คือคำอธิบายสิ่งที่ผมทำอยู่ที่เบิร์กไชร์ได้ดีที่สุด

ดูเหมือนว่าวอเร็นบัฟเฟตต์ในฐานะของการเป็นนักลงทุนแบบ VI นั้น  ไม่ค่อยมีงานอะไรทำ   เช่นเดียวกัน  ชาร์ลี มังเกอร์ ซึ่งก็เป็นนักลงทุนระดับเซียนที่ช่วยบัฟเฟตต์ลงทุนก็ไม่ค่อยมีอะไรทำเหมือนกัน   ลองมาดูว่าวัน ๆ หนึ่งบัฟเฟตต์ทำอะไรบ้าง

ปกติบัฟเฟตต์ตื่นประมาณ 6.45 น.  แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับ  บางครั้งก็เข้าไปอ่านในอินเตอร์เน็ตบ้างเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น  เขาไปถึงที่ทำงานประมาณ 9.00 น. หรือบางทีก็ 8.00 น. ขึ้นอยู่กับว่าจะมีอะไรต้องทำ  เขาไม่มีตารางเวลาตายตัว  บัฟเฟตต์บอกว่าเขาไม่ต้องการให้ชีวิตตนเองถูกบังคับให้ทำอะไรโดยไม่มีทางเลือก  ในที่ทำงาน  เวลาประมาณ 75-80% ของเขาหมดไปกับการอ่าน  วัน ๆ  หนึ่งเขาอ่านหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ  รายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียน  รายงานรายไตรมาศ แมกกาซีน และอื่น ๆ  สารพัด  เวลาที่เหลือนั้นเขาใช้ไปกับการพูดคุยโทรศัพท์   สั่งซื้อขายหุ้นหรือเงินตราต่างประเทศ  แต่พวกนี้ไม่ได้ใช้เวลามาก  หลังจากนั้น  เขาก็กลับบ้านซึ่งก็อาจจะประมาณห้าโมงครึ่งหรือหกโมงเย็นไม่ค่อยแน่นอน   ในตอนค่ำเขาก็มักจะอ่านหนังสือต่อ  หรือไม่บางวันก็เล่นบริดจ์ทางอินเตอร์เน็ต  ซึ่งคู่เล่นรวมถึงบิลเกตและน้องสาวของเขาที่อยู่ต่างเมือง  และนี่คือความบันเทิงหลักของบัฟเฟตต์
โฮวาร์ด  ลูกของบัฟเฟตต์เล่าว่า บัฟเฟตต์นั้น  แม้แต่เครื่องตัดหญ้าก็ใช้ไม่เป็น  นอกจากนั้น  เขาไม่เคยเห็นบัฟเฟตต์ล้างรถ  หรือทำงานบ้านอะไรเลย  ในตอนเด็กเขารู้สึกแย่แต่เมื่อโตขึ้นและรู้จักคุณค่าของเวลาแล้ว  เขาถึงได้ตระหนักว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงทำอย่างนั้น  นั่นก็คือ  เวลาสำหรับบัฟเฟตต์นั้นมีค่ามาก  เขาไม่ยอมเสียเวลากับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ 

บัฟเฟตต์บอกว่า  การที่เป็นคนดังนั้นไม่ใช่เรื่องดี  เพราะมันทำให้เขาได้รับจดหมายและคำถามมากมายเกี่ยวกับการลงทุน  แต่ออฟฟิสของเขาซึ่งมีขนาดเล็กมากนั้นไม่สามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้  ดังนั้น  เขาจึงไม่ตอบหรือไม่จัดการกับจดหมายเหล่านั้น  เพราะถ้าทำเขาก็คงไม่มีเวลาที่จะทำงานได้เลย

แม้ว่าบัฟเฟตต์จะเป็น CEO ของบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่างเบิร์กไชร์  แต่เขามีชีวิตการทำงานแตกต่างกับ CEO คนอื่นมาก  ครั้งหนึ่ง  บิล เกรแฮม ลูกชายของ  เค เกรแฮม เจ้าของบริษัทวอชิงตันโพสต์ซึ่งบัฟเฟตต์เข้าไปถือหุ้นและเป็นเพื่อนสนิท  ต้องการแวะมาเยี่ยม  บัฟเฟตต์ตอบว่า  มาได้เลยทุกเวลา  ผมไม่มีตารางนัด   ห้องทำงานของบัฟเฟตต์นั้นเงียบมาก  ในห้องไม่มีคอมพิวเตอร์  ไม่มีจอดูหุ้น  ไม่มีแม้แต่เครื่องคิดเลข  บัฟเฟตต์เคยบอกว่า  ผมก็คือคอมพิวเตอร์  ในช่วงหนึ่ง  บิล สก็อต  ซึ่งเป็นเทรดเดอร์ซื้อขายหุ้นของเบิร์กไชร์โผล่หน้ามาแล้วก็ถามว่า  สิบล้านดอลลาร์ที่ 125.125  เอาไหม?”  โทรศัพท์ในห้องไม่ค่อยดังบ่อยนัก  บัฟเฟตต์มีเวลาเหลือมากมายเมื่อเทียบกับ CEO ของบริษัทอื่น ๆ   ตารางเวลาในวันหนึ่ง ๆ  ของเขานั้น  ไม่มีกำหนดการที่เป็นแบบแผนและมีเวลาว่างมากมายสำหรับการดื่มโค๊ก  เขามักจะนั่งอ่านหนังสือเป็นชั่วโมง ๆ  และติดต่อกับโลกภายนอกด้วยโทรศัพท์ซึ่งเขารับสายเอง  นอกจากนั้นเขายังมีโทรศัพท์สายตรงอีกสามสายกับบริษัทหลักทรัพย์ในการซื้อขายหุ้น

ชีวิตประจำวันของบัฟเฟตต์นั้นเรียบง่ายมากจนไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับตำแหน่งหน้าที่ในฐานะที่เป็น CEO ของบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงมากอย่างเบิร์กไชร์  และในฐานะที่เป็นคนรวยและดังระดับต้น ๆ ของโลกธุรกิจ  บัฟเฟตต์นั้นไม่สนใจออกงานที่จะได้หน้าตาหรืออยู่ในแวดวงคนชั้นสูง  ครั้งหนึ่งถ้าจำไม่ผิด ทำเนียบขาวเคยเชิญบัฟเฟตต์ให้ไปรับประทานอาหารค่ำกับประธานาธิบดีคลินตันแต่บัฟเฟตต์ปฏิเสธ  เขาคงดูว่าไม่รู้จะเสียเวลาบินไปทำไม  เขาไม่มีอะไรจะคุยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขา   ตรงกันข้าม  บัฟเฟตต์ให้เวลาไปพูดกับนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  ทั่วประเทศค่อนข้างมากเช่นเดียวกับการต้อนรับนักศึกษาที่สนใจในเรื่องการลงทุน  เขาดูว่านี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์  และการพูดคุยกับคนอายุ 20-25 ปี นั้น  มันอาจช่วยเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาบางคนได้

มองอย่างผิวเผิน  บัฟเฟตต์อาจจะไม่ค่อยได้ทำงานอะไรหนักหนา  แต่ความเป็นจริงคือ  งานการลงทุนนั้น  แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการบริหารธุรกิจ  การลงทุนนั้นเป็นเรื่องของความคิดล้วน ๆ  คุณภาพของการตัดสินใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด  บางที  ปีหนึ่งตัดสินใจครั้งเดียวคุณก็ประสบความสำเร็จมหาศาลได้แล้ว  ในขณะที่การบริหารธุรกิจนั้น  คุณต้องตัดสินใจอาจจะเป็นสิบ ๆ ครั้งต่อวัน  แต่ผลการตัดสินใจส่วนใหญ่นั้นอาจจะไม่มีผลอะไรต่อความสำเร็จมากนัก  ดังนั้น  คุณมักจะต้องวุ่นวายทั้งวันไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่  แต่การลงทุนนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องทำงาน  เพียงแต่งานนั้นก็คือการเพิ่มคุณภาพของการตัดสินใจขึ้นไปเรื่อย  และวิธีการเพิ่มคุณภาพก็คือการอ่าน  อ่าน  และอ่าน  หนังสือและข้อมูลสารพัดอย่างที่ บัฟเฟตต์และมังเกอร์ทำ

4  พฤษภาคม  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น