วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ไพร่-อำมาตย์-เสรีชน



ในขณะที่วาทกรรมเรื่อง ไพร่-อำมาตย์ กำลังร้อนอยู่ในขณะนี้  ผมลองมาคิดดูถึงตัวเองในฐานะนักลงทุนอาชีพแบบ Value Investor ว่าเราน่าจะเป็นใคร  ไพร่ หรือ อำมาตย์ หรือ อย่างอื่น

ก่อนที่จะพูดว่าเป็นไพร่หรืออำมาตย์  ผมคงต้องกำหนดนิยามเสียก่อนว่าไพร่และอำมาตย์ในความหมายของผมนั้น   ไม่ได้เป็นคำนิยามตามพจนานุกรมที่อาจจะบอกว่าไพร่คือข้าทาสหรืออำมาตย์คือข้าราชการในสังคมไทยสมัยก่อน  ไพร่ในความหมายของผมและดูเหมือนว่าจะเป็นความหมายของคนในสังคมจำนวนมากเห็นได้จากการใช้คำ ๆ  นี้ในภาพยนต์และละครหลังข่าวกันเป็นประจำก็คือ  เป็น  ชาวบ้าน  ที่ไม่มี ตระกูล  ยากจน  เป็นคน ชั้นต่ำของสังคมที่ไม่มีอภิสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น   ว่าที่จริงไพร่นั้นเป็นคนที่  ถูกกดขี่  และเป็นคนที่เสียเปรียบทุกด้านในสังคม

ส่วนคำว่าอำมาตย์นั้น  ว่าไปแล้ว  เราก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยในชีวิตประจำวันสมัยใหม่  แต่ถ้าตีความตามที่มีการใช้กันเป็นวาทกรรมในขณะนี้  ก็น่าจะหมายถึงคนที่เป็นคน  ชั้นสูง  ของสังคม  เป็นคนที่มีสถานะทางตำแหน่งงานในราชการหรือองค์กรธุรกิจ  เป็นคนที่มีอภิสิทธิ์  เป็น  ผู้กดขี่เป็น  นาย  และเป็นผู้ที่ได้เปรียบทุกอย่างในสังคม  ซึ่งในสมัยปัจจุบันนี้  ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นข้าราชการเลย 

มาดูก่อนว่าเราเป็นคน ชั้นสูงหรือไม่?  นี่เป็นเรื่องชัดเจนว่าเราไม่ใช่  เราไม่ได้เกิดในตระกูล  ผู้ดี  หรือตระกูล นักธุรกิจร่ำรวย  ว่าที่จริงตระกูลอย่างตระกูลของผมนั้น  เรานั้นมาจากชาวนายากจนที่อพยพหนีความอดอยากมาจากเมืองจีน  ดังนั้น  เรามี  คุณสมบัติไพร่  ข้อที่หนึ่ง  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเป็นไพร่  เพราะยังต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ  มาประกอบด้วย  



ในเรื่องของการเป็นผู้  กดขี่นั้น  สิ่งที่ใช้วัดนั้น  ผมมองว่าการเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าในแง่ของการสั่งการให้ทำอะไรต่าง ๆ  ได้น่าจะเป็นตัววัดที่พอใช้ได้  นั่นคือ  ถ้าเรามีคนที่เป็นลูกน้องหรือบริวารเช่นคนรับใช้มากคนมากชั้น  ก็หมายความว่าเราอาจจะมีคุณสมบัติแบบอำมาตย์มาก  ตรงกันข้าม  ถ้าเรากลายเป็นลูกน้อง  มีคนที่อยู่เหนือและสามารถสั่งการเรามาก  แต่เราไม่มีลูกน้องหรือคนที่อยู่ใต้เราเลย  นั่นแปลว่าเรามีคุณสมบัติของไพร่โดยแท้  มองในมุมนี้  ในฐานะของนักลงทุน  ผมไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาเลย  นอกจากนั้น  ในชีวิตส่วนตัวผมก็ไม่เคยมีคนรับใช้ที่จะให้สั่งงานด้วย  ดังนั้น  ดูเหมือนว่าผมน่าจะอยู่ในข่ายไพร่   อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่มี  นาย  ที่จะมาสั่งการอะไรผม  ผมไม่มีคนที่ต้องไปพินอบพิเทาอะไรทั้งสิ้น  ผมเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์  ดังนั้น  ผมจึงไม่เข้าข่ายหรือไม่มีคุณสมบัติไพร่ในประเด็นนี้

เรื่องของการมีอภิสิทธิ์ในสังคมนั้น  ที่จริงมาจากคุณสมบัติหลาย ๆ  อย่างรวมกัน  รวมถึงอุปนิสัยส่วนตัวของเจ้าตัวด้วย  ในเรื่องนี้  ผมคิดว่าถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ  ก็คือ  ไพร่นั้น  นอกจากจะไม่มีอภิสิทธิ์แล้ว  ยังมักจะโดน  รอนสิทธิ์ด้วย  นั่นคือ  เมื่อมีปัญหาอะไรก็จะถูกจัดการด้วยกฏหมาย  อย่างรุนแรงเกินกว่าปกติ  ส่วนอำมาตย์นั้น  คือคนที่สามารถอยู่  เหนือกฏหมาย  เช่น  อาจจะมีการละเว้นไม่ดำเนินการโดยผู้รักษากฏหมาย  ถ้าจะลองนึกถึงตัวอย่างดูง่าย ๆ  ในเรื่องของการถูกตำรวจจับเรื่องขับรถผิดกฏ  ถ้าคุณสามารถที่จะหลุดพ้นมาได้โดยตำรวจไม่ทำอะไรนั่นก็คือ  คุณมีคุณสมบัติอำมาตย์  แต่ถ้าคุณต้อง จ่าย  ค่าปรับ  นั่นก็คือ  คุณเป็นคนธรรมดา  แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มักจะถูกตำรวจตั้งด่านจับเป็นประจำ  นั่นก็คือ  คุณคงมีคุณสมบัติไพร่อยู่ไม่น้อย

อีกเรื่องหนึ่งที่พอจะนำมาวัดเรื่องสถานะของคนก็คือ  เรื่องของสถานะทางสังคม  เวลาที่เราบอกว่าเป็นนักลงทุนนั้น   คนทั่วไปก็มักเข้าใจว่าเราไม่ได้มีอาชีพการงานหรือตำแหน่งอะไรเลย  การเป็นนักลงทุนอาชีพนั้นผมคิดว่าค่อนข้างมีปัญหาพอสมควรโดยเฉพาะเวลาต้องไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนอื่น  ยกตัวอย่างง่าย ๆ   เวลาจะไปขอบัตรเครดิตนั้น  ผมพบว่าเราไม่สามารถจะกรอกแบบฟอร์มเพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเราได้  เพราะเราไม่มีเงินเดือน  ไม่มีหน้าที่การงาน ที่จะทำให้เราดูมีเครดิตดี  หรือเวลาเราไปขอวีซ่าไปต่างประเทศ  เขาก็มักจะต้องขอข้อมูลคล้ายคลึงกัน  ในแง่นี้  นักลงทุนดูเหมือนว่าจะมีสถานะไม่สูง

เวลาที่เรา เติบโต  มีอายุมากขึ้นและประสบความสำเร็จในการลงทุน  เปรียบเทียบไปแล้วก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าเพื่อนฝูงที่ทำราชการหรือคนที่ทำงานบริษัทเอกชนหรือเป็นเจ้าของธุรกิจ  แต่การยอมรับของคนในสังคมต่อนักลงทุนก็จะด้อยกว่ามาก  ไม่มีใครจะเชิญนักลงทุนขึ้นไปกล่าวในงานแต่งงานหรืองานพิธี  ไม่มีสถาบันการศึกษาไหนจะให้ตำแหน่งศิษย์เก่าดีเด่นกับนักลงทุนที่ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย  และสำหรับนักลงทุนอาชีพหนุ่มนั้น  เวลาที่จะไปขอผู้หญิงแต่งงานก็มักจะต้องเผชิญกับคำถามจากญาติฝ่ายเจ้าสาวว่า  ทำงานอะไร  เหล่านี้ทำให้นักลงทุนนั้นมีความโน้มเอียงไปในทาง  ไพร่  มากกว่าที่จะเป็นอำมาตย์

สุดท้ายก็คือเรื่องของเงิน  ความรวย  ความจน  นี่เป็นจุดที่อาจจะทำให้  Value Investor อาชีพนั้น  มีคุณสมบัติของอำมาตย์  เพราะพวกเขาจำนวนไม่น้อยมีเงินหรือความมั่งคั่งในระดับสูง  บางคนเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่มาก  อย่างไรก็ตาม  VI หลายคนที่ร่ำรวยก็ไม่ใคร่ได้ใช้เงินหรือแสดงออกถึงความร่ำรวย  คราบของความเป็นอำมาตย์ก็ไม่เกิด  อย่างไรก็ตามคุณสมบัติข้อนี้ทำให้ VI จำนวนมากไม่สามารถจะถูกจัดให้เป็นไพร่ได้

โดยสรุปแล้ว  ผมคิดว่า  ชีวิตของ Value Investor อาชีพนั้น  มีคุณสมบัติโน้มเอียงไปในทางที่เป็นไพร่มากกว่าอำมาตย์  อย่างไรก็ตาม  คุณสมบัติส่วนใหญ่กลับเป็นคุณสมบัติกลาง ๆ  ระหว่างไพร่กับอำมาตย์  ดังนั้น  ในความเห็นของผม  VI นั้นน่าจะเป็นคนที่ผมเรียกว่า  เสรีชน  มากกว่าที่จะเป็นไพร่หรืออำมาตย์  เสรีชน  ในความหมายของผมก็คือ  คนที่มีชีวิตอิสระไม่ขึ้นกับใคร  ในอีกด้านหนึ่ง  เขาก็ไม่ต้องการไปกดขี่หรืออยู่เหนือคนอื่น  พวกเขาชอบความเป็นธรรมและความเสมอภาคกันในสังคม  เขาคิดว่า  นี่คือสิ่งที่จะทำให้ประเทศและเศรษฐกิจเติบโตไปได้ดีที่สุดในระยะยาวซึ่งจะส่งผลถึงการลงทุนของพวกเขาด้วย

29  มีนาคม  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น