วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

เล่นหุ้นหลังปีทอง



            ปี 2546 เป็น ปีทองของตลาดหุ้น  เช่นเดียวกัน  มันเป็น ปีทองของการลงทุนของผมด้วย  เพราะผมได้ผลตอบแทนเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในปีเดียว   ปี 2552 เป็นปีที่ประวัติศาสตร์ ซ้ำรอย    คือมันเป็นปีทองของตลาดหุ้นและเป็นปีทองของผมอีกครั้งหนึ่ง  แน่นอน  ผมดีใจ  แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2547 ซึ่งเป็นปี หลังปีทอง  ผมก็รู้สึกกังวลกับการลงทุนในปี 2553 ซึ่งเป็นปีหลังปีทองเหมือนกัน   เพราะในปี 2547 นั้น  ดัชนีตลาดหุ้นตกลงไปถึงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์  แต่ที่แย่กว่าก็คือ  พอร์ตการลงทุนของผมนั้นลดลงถึงเกือบ 30%   ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง  ปี 2553 นี้ก็อาจจะไม่ใช่ปีที่ดีของผม  และโดยความเชื่อส่วนตัวผมก็ไม่มองโลกในแง่ดีสำหรับการลงทุนในปีนี้   เพราะผมคิดว่าตลาดหุ้นในปี 2553 นั้นอาจจะไม่สดใสเหมือนปี 2552  เหตุผลนั้นมีหลายเรื่อง

เรื่องแรก  อาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องทาง  เท็คนิค  นั่นก็คือ ในปี 2552 นั้น  เมื่อเริ่มต้นปีดัชนีตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำมากเพียงสามร้อยกว่าจุด  และถ้าเราพิจารณาว่าตลาดหุ้นนั้นตั้งมากว่า 30 ปี  แต่ราคาหุ้นจากร้อยจุดขึ้นมาเป็นแค่สามร้อยกว่าจุด  เท่ากับว่าราคาหุ้นขึ้นมาเฉลี่ยเพียงปีละ 3-4%  แทบจะไม่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อ  ดังนั้น  หุ้นก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ทางเดียวนั่นคือ  ขึ้น  และหุ้นก็ขึ้นมาจริง ๆ  อย่างแรงในปี 2552  แต่เหตุการณ์ในตอนเริ่มปี 2553 นั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ดัชนีหุ้นได้ขึ้นมาสูงในระยะเวลาอันสั้น  โอกาสที่หุ้นจะ  หยุดพัก  หรือปรับตัวลงบ้างก็น่าจะมี  ดังนั้น  ความไม่แน่นอนของผลตอบแทนในปี 2553  ก็น่าจะมีสูงพอสมควร

เรื่องที่สอง  ในปี 2552 ค่า PE  ซึ่งบอกถึงความถูกความแพงของตลาดหุ้นนั้นค่อนข้างต่ำ  อาจจะอยู่ที่ 7-8 เท่า  การที่หุ้นมีราคาถูกนั้น  มองในมุมของ Value Investor แล้ว  การลงทุนก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำกำไรสูงและมีความเสี่ยงต่ำ  แต่พอถึงปี 2553  ค่า PE ของตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาที่ประมาณ 12-13 เท่า  ซึ่งในตลาดหุ้นไทยแล้วก็ไม่ถือว่าหุ้นโดยเฉลี่ยมีราคาถูกอีกต่อไป  ดังนั้น  การลงทุนในปี 2553 จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำกำไรแบบปี 2552

เรื่องที่สาม  สถานการณ์แวดล้อมในระดับโลกในปี 2552 นั้นอยู่ในสภาพ  เลวร้ายที่สุดในช่วงหลายสิบปีในเมืองไทยเองนั้น  นอกจากผลกระทบที่มาจากโลกแล้ว  เรายังมีปัญหาการเมืองที่รุนแรงภายในประเทศด้วย  ดังนั้น  รัฐบาลของทุกประเทศจึงต้องทำการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจนเหลือเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์  นี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ เลวร้าย  มาก   แต่มองแบบ Value Investor ผมกลับเห็นว่านี่คือ โอกาส  เพราะการที่ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ที่สุดแล้ว  มันก็มีทางไปทางเดียว  นั่นคือ  มันจะต้อง ดีขึ้น   แต่เมื่อเริ่มปี 2553  เศรษฐกิจที่เลวร้ายก็เริ่มฟื้นตัว  บางประเทศค่อนข้างแรง  หลายประเทศเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ   โลกกำลังพูดถึงการลดการอัดฉีดเงินเข้าระบบของรัฐบาล   ในขณะเดียวกัน  นักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็ยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะไปได้ด้วยตนเองจริง ๆ  หรือยัง   ความไม่แน่นอนมีอยู่  เศรษฐกิจอาจจะฟุบลงไปใหม่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤติครั้งก่อน ๆ  ดังนั้น  การเล่นหุ้นในปี 2553 จึงมีทั้งโอกาสที่หุ้นจะขึ้นและลง

สุดท้าย  ก็มาถึงเรื่องของพื้นฐาน นั่นคือ  กำไรของบริษัทจดทะเบียน  ในตอนเริ่มปี 2552 นั้น  มองย้อนกลับไปที่ผลประกอบการของปี 2551 ก็จะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนตกต่ำลงโดยเฉพาะในไตรมาศสุดท้ายของปี 2551  เหตุผลก็คือ  บริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีต่างก็ขาดทุนจากการที่มูลค่าของสินค้าคงคลังมีราคาลดลง  เช่น  น้ำมันดิบมีราคาลดลงจากที่เคยเป็น 140 เหรียญต่อบาเรลเหลือเพียง 40 กว่าเหรียญ  เช่นเดียวกับราคาปิโตรเคมีหลาย ๆ  อย่าง   แต่ถ้ามองต่อไป  ความเสี่ยงที่ราคาสินค้าจะลดลงต่อนั้นก็มีน้อยมาก   ตรงกันข้าม  โอกาสที่ราคาโภคภัณฑ์เหล่านั้นจะเพิ่มขึ้นมีมากกว่าและนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2552 ที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มกลับขึ้นมาเป็น 70-80 เหรียญต่อบาเรลในตอนสิ้นปี 2552 ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นมาก

แต่ปี 2553 นั้น  สถานการณ์ไม่แน่นอนแล้ว   เพราะราคาน้ำมันและปิโตรเคมีอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำ  โอกาสที่ราคาจะขึ้นนั้นอาจจะพอ ๆ  กับที่ราคาจะลง  ดังนั้น  กำไรของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีในปี 2553 จึงไม่แน่นอนเหมือนปี 2552 ที่ดูเหมือนว่าจะมีแต่ทางขึ้นทางเดียว   ความไม่แน่นอนของกำไรของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในปี 2553 ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าดัชนีตลาดหุ้นของไทยจะวิ่งไปทางไหน  สิ่งที่ผมคิดก็คือ  โอกาสที่บริษัทจะมีกำไรก้าวกระโดดอย่างในปี 2552 น่าจะน้อย
 
ด้วยเหตุผลทั้งหลายที่กล่าวมาทำให้ผมไม่มองโลกในแง่ดีนักสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในปีนี้   และถ้าจะซื้อหุ้น  ผมก็จะเปลี่ยน  โหมด  การลงทุนจากที่เคยเน้นหุ้นที่อาจจะ หวือหวา  ที่ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นลงรวดเร็วในปี 2552   มาเป็นหุ้นที่ค่อนข้างมั่นคงและสามารถรักษาระดับการจ่ายปันผลในอัตราที่ดีอย่างต่อเนื่องแทน   เป้าหมายสำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2553 ของผมก็คือ  พยายามรักษาความมั่งคั่งที่ได้มาอย่างรวดเร็วในปี 2552 ไว้   และไม่หวังผลเลิศในปี 2553   แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะขายหุ้นทิ้งแล้วถือเป็นเงินสดไว้   เพราะเงินสดนั้นให้ผลตอบแทนน้อยมากเพียง 1-2 %  ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้น  เฉพาะปันผลก็ 3-4%  เข้าไปแล้ว   เหนือสิ่งอื่นใด  ผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดไว้นั้นถูกจริงหรือเปล่า  มันอาจจะมีปัจจัยอย่างอื่นที่เราคิดไม่ถึงเข้ามากระทบและกลบสิ่งที่เราคิดไว้ทั้งหมดได้  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  Stay Calm, Stay Invest ใจเย็นและลงทุนต่อไป  เพียงแต่ต้องระมัดระวังมากขึ้นและไม่หวังผลเลิศ

25  มกราคม  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น