ปรากฏการณ์เล็ก ๆ อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ในแวดวงของ
Value Investor ก็คือสิ่งที่ผมอยากจะเรียกว่า
“VI Effect” นี่คือปรากฏการณ์ที่หุ้นหลาย
ๆ ตัวที่กลุ่ม Value Investor “มืออาชีพ” ซื้อลงทุนและได้รับการกล่าวขวัญถึงในเว็บไซ้ต์หรือสื่อต่าง ๆ มีราคาปรับตัวขึ้นค่อนข้างเร็วและมาก
ก่อนที่จะพูดถึงเหตุผล
ผมคงต้องทำความเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “Effect” เสียก่อนว่ามันหมายถึงอะไรเวลาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุน
คำว่า Effect นั้น หมายถึงผลกระทบ หรืออิทธิพลอันเนื่องมาจากการกระทำของคนหรือกลุ่มของนักลงทุนที่มีต่อราคาหุ้นซึ่งอาจจะไม่นับหรือยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพื้นฐานของบริษัท
แต่เป็นเรื่องที่การกระทำของคนหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ส่งผลให้มีคนทำตามจำนวนมาก
ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นหรือลงมากกว่าที่ควรเป็น
ตัวอย่างเช่น
เมื่อมีข่าวว่า วอเร็น บัฟเฟตต์
เข้าซื้อหุ้นของบริษัทปิโตรไชน่าของจีน
ราคาของหุ้นปิโตรไชน่าก็พุ่งขึ้นหลายเท่าในเวลาอันสั้น อาจจะเป็นเพราะว่านักลงทุนคิดว่าถ้าบัฟเฟตต์ซื้อ
ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้คงเป็นหุ้นที่ดีและราคาถูก ดังนั้น
พวกเขาจึงรีบเข้าไปซื้อตามก่อนที่ราคาจะ “ขึ้น”
ไปหรือขึ้นไปอีก
นักลงทุนบางคนอาจจะไม่ได้คิดว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ดีและถูกเท่าไรนัก
แต่เขาคิดว่าคงมีคนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นปิโตรไชน่าตามบัฟเฟตต์ ดังนั้นเดี๋ยวหุ้นก็จะขึ้น ดังนั้น
เขาต้องเข้าไปซื้อดักหน้าไว้ก่อน
กระบวนการที่คนต่างก็รีบเข้าไปซื้อหุ้นทำให้หุ้นปิโตรไชน่าขึ้นไปเองไม่ว่าพื้นฐานจะดีคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่
ลักษณะของการขึ้นของหุ้นในทันทีที่มีข่าวบัฟเฟตต์เข้าไปซื้อนั้นเรียกว่าเป็น “Buffett Effect” และผมคงไม่ต้องพูดต่อว่า
อิทธิพลของบัฟเฟตต์ต่อราคาหุ้นนั้นมากแค่ไหน เพราะหุ้นแทบจะทุกตัวที่บัฟเฟตต์ซื้อนั้น หลังปรากฏข่าวหรือแม้แต่ข่าวลือก็มักจะ “วิ่งกระจาย”
Effect หรืออิทธิพลระดับ “โลก” นั้น แน่นอน
ไม่ใช่มีแต่เฉพาะจากบัฟเฟตต์ซึ่งเป็นแนวของ Value Investor
นักเก็งกำไรอย่างจอร์จ โซรอส นั้นก็มี Effect ไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่า ว่ากันว่าถ้าจอร์จ โซรอส เข้าไปเล่นอะไร คนแห่ตามกันเพียบ
ตัวอย่างเช่นสมัยที่มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทเมื่อปี 2540
ที่ทำให้ค่าเงินบาทล่มสลายนั้น
คนที่ทำจริง ๆ คงเป็น “สาวก” ของโซรอสมากกว่าตัวเขาเอง
ในเมืองไทยนั้น Effect
ก่อนหน้านี้เท่าที่เห็นก็จะมีเฉพาะที่มาจากนักเก็งกำไรหรือ “นักปั่น” หุ้นรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ในสมัยก่อนนั้น พอมีข่าวว่า
เซียนหรือรายใหญ่กำลังเข้ามาเล่นหุ้นตัวไหน หุ้นตัวนั้นก็
“วิ่งกันกระจาย” เพราะคนเชื่อว่าต้องรีบซื้อก่อนที่มันจะวิ่ง พอคนจำนวนมากคิดแบบนั้น หุ้นก็ต้องขึ้นทั้ง ๆ ที่พื้นฐานบริษัทอาจจะแย่มาก อย่างไรก็ตาม
Effect เนื่องจากขาใหญ่นั้น ในระยะหลังก็เริ่ม “เลือนลาง” ไปเนื่องจากคนที่ “ซื้อตาม” นั้นจำนวนมาก “หนีไม่ทัน” และมักจะขาดทุน
จึงเลิกเชื่อถือ ผลก็คือ Effect เหล่านั้นก็หมดไปพร้อม
ๆ กับความนิยมในการเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐาน และนั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เริ่มแพร่หลายและได้รับการยอมรับมากขึ้น
กลุ่ม Value Investor ที่ได้เริ่มเข้ามาลงทุนมากขึ้นเรื่อย
ๆ ในตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤติปี 2540 นั้น
มาถึงปัจจุบันผมอยากจะพูดว่าเติบโตขึ้นมากแบบก้าวกระโดดและน่าจะกลายเป็นกลุ่มที่มีพลังและอิทธิพลมากพอสมควรและกำลังสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
VI Effect โดยมีเหตุผลต่อไปนี้
ข้อแรกก็คือ “พลังเงิน” ถึงแม้ว่าเม็ดเงินที่มีในตลาดหุ้นของ
VI จะยังน้อยกว่านักลงทุนต่างประเทศหรือนักลงทุนสถาบัน แต่ก็มีนัยสำคัญในตลาด มองคร่าว ๆ
ผมคิดว่าเม็ดเงินรวมของกลุ่ม VI นั้นน่าจะอยู่ในหลัก “หลายหมื่นล้านบาท” ซึ่งเพียงพอที่จะ “ขับเคลื่อนราคาหุ้น” ของบริษัทขนาดเล็กหรือกลางบางบริษัทได้ไม่ยาก
ข้อสอง
ผลงานและความรอบรู้ในตัวกิจการของ VI ระดับ “เซียน” นั้น
สามารถสร้างความประทับใจและน่าเชื่อถือกับนักลงทุนอื่น ๆ โดยเฉพาะที่เป็น VI ด้วยกัน ดังนั้น
เวลาที่ VI ระดับเซียนซื้อหุ้น จึงมักมีคนซื้อตามกันมาก
พลังเงินจำนวนมากบวกกับตัวหุ้นที่มักจะเป็นบริษัทเล็กและมีหุ้นกระจายอยู่ในตลาดน้อย ทำให้หุ้นตัวดังกล่าววิ่งแรงมาก
และนี่ก็ยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนรายใหม่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีก Effect ก็เกิดขึ้น
ข้อสามก็คือ
พลังของการสื่อสาร
นี่คือวิวัฒนาการของการลงทุนที่ไม่มีในสมัยก่อน ในยุคปัจจุบันนั้น การสื่อสารกว้างขวาง รวดเร็ว
แพร่หลาย และถูกมาก
นักลงทุนส่วนบุคคลสามารถส่งข้อมูลถึงคนอื่นผ่านสื่อต่าง ๆ
ได้ด้วยตนเองและทันทีและสามารถผ่านถึงผู้รับทางโทรศัพท์มือถือได้ สื่อทางสังคมเช่น เฟซบุค ทวิตเตอร์
หรือบล็อกส่วนตัวทำให้การตอบสนองของนักลงทุนนั้นรวดเร็วและรุนแรง
ข้อสี่ พลังของความคิดและความเชื่อที่คล้ายคลึงกันของ
VI นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เกิด Effect ง่ายขึ้นเข้าทำนอง “สามัคคีคือพลัง” VI จำนวนมากอ่านหรือรับรู้ข้อมูลผ่านเวบไซ้ต์เดียวกัน ไปสัมนาที่เดียวกัน ไปชุมนุมจัดเลี้ยงในกลุ่มเดียวกัน หรืออ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ดังนั้น
เวลาได้รับรู้การซื้อขายหุ้นของ “ผู้นำ” หรือ
“เซียน VI”
และไปศึกษาเพิ่มเติม
การตัดสินใจหรือปฏิบัติจึงออกมาในแนวเดียวกัน
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงเหตุผลบางส่วนที่ทำให้เริ่มเกิด VI Effect ในตลาดหุ้นไทย ในระยะสั้น VI Effect ยังน่าจะมีต่อเนื่องไปซึ่งน่าจะเป็นผลจาก “Success beget Success” หรือความสำเร็จก่อให้เกิดความสำเร็จตามมา อย่างไรก็ตาม
ในที่สุด “อิทธิพล” จะยังคงอยู่ได้หรือไม่อยู่ที่ว่าในระยะยาวแล้ว หุ้นที่เกิดจาก Effect ยังมีราคายืนอยู่และเติบโตขึ้นไปได้หรือไม่ ถ้าปรากฏว่าหุ้นขึ้นไปโดยเกิดจากผลกระทบระยะสั้น
แต่หลังจากนั้นหุ้นกลับตกลงมาเนื่องผลประกอบการบริษัทไม่เป็นอย่างที่คิด สุดท้ายความเชื่อถือก็จะหมดไป และ Effect ต่าง ๆ จะหมดไป
ในอีกด้านหนึ่ง
คนที่ซื้อหุ้นตามก็ต้องระวังว่า
การซื้อตามนั้น ไม่ใช่หลักการของ VI ที่เน้นว่าเราต้อง “คิดเอง” และถ้าเราคิดแล้วมีคนตาม นั่นก็แปลว่า
ฝีมือเราอาจจะก้าวขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งและเราน่าจะประสบความสำเร็จสูงขึ้น
21 มิถุนายน 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น