วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

กำเนิด VI



พื้นฐานของชีวิตและการเริ่มต้นเป็น Value Investor หรือนักลงทุนของแต่ละคนนั้นบอกอะไรบางอย่างถึงแนวทางหรือกลยุทธการลงทุนของเขา  รวมถึงการคาดการณ์อนาคตที่เขาจะไปถึงได้

วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น  เกิดมาเพื่อที่จะเป็นนักลงทุนเอกของโลก  เพราะเขารักการหาเงินและลงทุนตั้งแต่เด็ก  เขาเกิดในช่วงเวลาและในประเทศที่เหมาะสม  และได้พบและเรียนรู้ศาสตร์การลงทุนจาก    เบน เกรแฮม ปรมาจารย์ด้านการลงทุนเอกของโลก  กลยุทธและวิธีการของเขาก็คือ  ลงทุนระยะยาวและโตไปกับเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองสุด ๆ  ของอเมริกา  จอร์จ โซรอส นั้น  เป็นเด็กหนุ่มชาวยิวฮังการีที่ต้องหนีนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง  ความคิดของเขาก็คือ  ต้องเร็วและเอาตัวรอดให้ได้  การลงทุนของเขานั้นดูเหมือนจะคล้าย ๆ  กับการต่อสู้หรือสงคราม  นั่นคือ  เข้า โจมตี  อย่างรุนแรง  รวดเร็ว  เผด็จศึกเป็นครั้ง ๆ   เขาทำกำไรจากหายนะเช่นเดียวกับความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจ

ผมเองเริ่มต้นชีวิต VI จากการที่ต้องหาทางเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ คุกคามชีวิตการทำงานในฐานะลูกจ้างบริษัทของผม  ในตอนเริ่มต้นชีวิตการลงทุนในครั้งนั้น  ผมไม่ได้วางแผนหรือตระหนักว่าเส้นทางสายนี้จะนำผมไปสู่ความมั่งคั่งและชื่อเสียงในฐานะ VI ชั้นนำ  ผมเพียงแต่คิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในแนวทาง Value Investment นั้น  คือทางออกที่จะทำให้ผมยังมีชีวิตในฐานะชนชั้นกลางแบบที่ผมเป็นอยู่ในขณะนั้นได้แม้ว่าจะไม่มีรายได้จากการทำงานหรือรายได้ประจำลดลงมาก  กลยุทธการลงทุนของผมจึงเน้นที่  ความปลอดภัย  หรือการ ปกป้องเงินต้น  เป็นหัวใจหลัก  อะไรที่ทำให้การลงทุนมีโอกาสขาดทุน  อย่างถาวร  ผมจะหลีกเลี่ยง  การลงทุนของผมแต่ละครั้งจะต้อง  ไม่ขาดทุน

ถึงวันนี้ที่ Value Investment เป็นทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนหน้าใหม่จำนวนไม่น้อย  ผมเห็นว่าการเริ่มต้นของคนเหล่านี้สามารถแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่    ได้ 4 กลุ่มด้วยกันคือ

กลุ่มแรก  คนทำงานกินเงินเดือน  อายุประมาณ 30-45 ปี  นี่คือกลุ่ม VI ที่เริ่มสนใจลงทุนเนื่องจากตระหนักว่าตนเองจำเป็นที่จะต้องออมเงินเพื่อการเกษียณหรือบางคนต้องการสร้างอนาคตและเห็นว่าการฝากเงินนั้นเป็น  การลงทุน  ที่แย่มาก  คนกลุ่มนี้มักเป็นคนที่มีความมั่งคั่งไม่มาก  เงินทุกบาททุกสตางค์  หามาได้ยาก  การที่มันจะ  หายไป  หรือลดน้อยลงเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจรุนแรง  ดังนั้น  กลยุทธการลงทุนจึงมักจะ  อนุรักษ์นิยม  และไม่ลงทุนในหุ้นมากนัก  หุ้นที่เลือกลงทุนต้องเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและขนาดไม่เล็กเกินไป  ระยะการลงทุนก็มักจะค่อนข้างยาวเนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามมากนัก  เป้าหมายผลตอบแทนในการลงทุนก็มักจะไม่สูง  แต่พวกเขาก็ยังหวังได้ประมาณปีละ 15-20% 

กลุ่มที่สองเป็น  เด็กจบใหม่  ที่พ่อแม่เป็นคนชั้นกลาง  พวกเขาไม่ได้มีเงินสนับสนุนจากทางบ้านในการลงทุนแต่ก็ไม่ได้มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว  ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แต่งงานเพราะอายุยังไม่ถึง 30 ปี  พวกเขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานที่ค่อนข้างสูงที่จะ รวย  เป็นเศรษฐีในเวลาอาจจะแค่ 10-15 ปี ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาได้อ่านประวัติของนักลงทุนเอกหรือนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอื่น ๆ  จนทำให้คิดว่าเขาก็น่าจะทำได้แบบเดียวกันหรือดีกว่า  ว่าที่จริงหลาย ๆ  คนก็สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่น่าประทับใจมากเช่นทำกำไรได้ 100%  ภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน เป็นต้น  

VI ในกลุ่มนี้ค่อนข้างจะใช้กลยุทธการลงทุนที่ กล้าได้กล้าเสีย  และมักจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีผลประกอบการไม่แน่นอนแต่มีช่วงเวลาที่โดดเด่นที่จะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นให้สูงขึ้นได้หลายเท่าในเวลาไม่นาน  เหนือสิ่งอื่นใดสำหรับคนเหล่านี้ก็คือ  ถ้าพลาดเขาก็สามารถหาใหม่ได้   อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากเม็ดเงินที่ยังน้อย  พวกเขาก็ไม่สามารถเป็น ผู้นำ  ที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้น  พวกเขาจึงมักจะเป็น ผู้ตามที่คอยรับอานิสงค์จาก VI “ขาใหญ่ดังนั้น  ผลตอบแทนของพวกเขาจึงอาจจะไม่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับคนที่มีพอร์ตใหญ่กว่า  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  VI ในกลุ่มนี้จะเป็นคนที่ค่อนข้างจะกระตือรือร้นและมุ่งมั่น  พวกเขาใช้เวลากับการลงทุนค่อนข้างมากและมีการเทรดหุ้นสูง

กลุ่มที่สาม  นี่คือกลุ่มคนที่มักทำธุรกิจและมีเงินเหลือที่ถูกเก็บสะสมมานาน  พวกเขาเป็นคนรวยหรือเป็นเศรษฐีที่อาจจะเริ่มมีเวลามากขึ้นเนื่องจากธุรกิจอยู่ตัวแล้วหรือธุรกิจที่ทำอยู่เริ่ม  ตกดิน  เขาอาจจะเริ่มสนใจหาทางลงทุนเงินสดที่กองอยู่ในธนาคารที่แทบจะไม่ได้ดอกเบี้ย  เขาอาจจะพบว่าการลงทุนแบบ VI นั้น  เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งแทนที่จะใช้เงินนั้นไปสร้างธุรกิจใหม่  คนกลุ่มนี้จึงมักเลือกลงทุนในกิจการที่มีขนาดกลาง ๆ  มีความมั่นคงพอสมควรและมีพื้นฐานดี  พวกเขาเข้าใจดีว่าธุรกิจไหนเป็น  ของจริงหรือของปลอม  การลงทุนของพวกเขามักจะเป็นการลงทุนระยะยาว  หลายคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น  เนื่องจากเม็ดเงินเริ่มต้นจำนวนมาก  ทำให้พวกเขากลายเป็น  VI “รายใหญ่  ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงในเวลาอันสั้น  และทำให้มีบทบาท ชี้นำในหลาย ๆ  กรณี

กลุ่มที่สี่ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  กลุ่ม  ลูกเศรษฐี  นี่คือนักลงทุนหนุ่มสาวหน้าใหม่ที่ผมเห็นว่าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งจำนวนและมูลค่าพอร์ตการลงทุนในหุ้น  ลูกเศรษฐีที่ว่านี้จริง ๆ แล้ว  ส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่เศรษฐีใหญ่ที่ลูกจะสามารถหรือควรสืบทอดกิจการ  พวกเขามีธุรกิจหรือมีทรัพย์สินและมีเงิน  แต่งานของพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ลูกเข้าไปช่วยทำ  ลูก ๆ  ของพวกเขาควรไปเป็นลูกจ้างหรือพนักงานของบริษัทใหญ่ ๆ  มากกว่า  แต่การไปทำงานเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนั้นเป็นกิจกรรมที่เหนื่อยและได้เงินน้อยมาก  ดังนั้น  หนทางที่ดีกว่าก็คือ  การลงทุนที่จะให้เงินมาช่วยทำงาน  และนี่ก็มาถึงการลงทุนในหุ้นซึ่งเป็นกิจกรรมที่  ทำได้ง่ายที่สุดและอาจจะ เหนื่อยน้อยที่สุด  และนั่นนำไปสู่การเป็น VI

VI ที่เป็นลูกคนรวยนั้น   ในช่วงเริ่มต้นพ่อแม่ก็อาจจะให้เงินไป ลองเพียง 1-2 ล้านบาท   แต่ครั้นได้ลองทำและได้ผลตอบแทนอย่าง  น่าทึ่ง  ในเวลาอันสั้น  พวกเขาก็มักจะได้เงินลงทุนเพิ่มจากพ่อแม่ที่เห็นศักยภาพ  หลายคนสามารถต่อยอดเงินไปสูงมากจนร่ำรวยเป็น เศรษฐี  ด้วยตนเองในเวลาอันสั้น   VI กลุ่มนี้โดยพฤติกรรมก็คือ  มักจะมีความกล้าเสี่ยงได้อย่างเต็มที่  เหตุผลก็คือ  เสียก็ไม่เป็นไรเพราะอาจจะขอพ่อแม่ใหม่ได้หรือไม่ก็กลับไปทำงานกินเงินเดือน  พวกเขาจะลงทุนหุ้นเป็นตัว ๆ  เหมือนนักเก็งกำไร  หลายคนสามารถ ไล่หุ้นที่มีขนาดเล็กและไม่ใคร่มีสภาพคล่องได้ทำให้กลายเป็น  ผู้นำ  ที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้นและทำให้สามารถลงทุนและได้ผลตอบแทนอย่างน่าทึ่ง  ส่วนตัวผมเองคิดว่า  นี่คือกลุ่ม  “Golden Boy” ในตลาดหุ้นที่น่าจับตามอง  เพราะพวกเขาอาจจะมีทั้งเงิน  ความสามารถ  และเวลาในการลงทุนอีกยาวไกล  ถ้าไม่  แพ้ภัยตนเอง  เสียก่อน   
12   กรกฎาคม  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น