คนที่จะเป็น “เซียน”
ในวิถีทางแบบ Value Investment นั้น ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นนักอ่านตัวยง วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่สำคัญ
เพราะเขาอ่านหนังสือมากมายมหาศาลและเป็นคนที่อ่านได้เร็วมาก นอกจากหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงแล้ว ผมเชื่อว่าเขาอ่านหนังสืออื่น ๆ อีกมาก
เพราะถ้าจำไม่ผิด
เขาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการชื่อดังอย่าง The Selfish Gene ของ Richard
Dawkins เช่นเดียวกัน ชาลี มังเกอร์ เพื่อนซี้และหุ้นส่วนของ วอเร็น
บัฟเฟตต์เองก็อ่านหนังสือหลากหลายและน่าจะมากกว่า บัฟเฟตต์
ในแง่ของความหลากหลายทางวิชาการอื่น ๆ
เขาบอกว่าการลงทุนนั้น
คุณต้องอาศัยความรอบรู้รอบด้านมากกว่าความรู้ที่เจาะจงเฉพาะอย่าง
การอ่านหนังสือมากนั้น
ผมคิดว่าไม่พอที่จะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่ดี
การอ่านที่ได้ประโยชน์และได้ความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงต่างหากที่ผมคิดว่า
เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น
การเลือกอ่านหรือเลือกที่จะเชื่อหรือยอมรับในสิ่งที่เราอ่านจะเป็นหัวใจ
สำคัญที่ทำให้เราเก่งขึ้น รอบรู้ขึ้น การอ่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่จริงนั้น
ถ้าดีหน่อยก็ทำให้เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าแย่ก็คือ ทำให้เราเสียหาย ขาดทุน
และรู้น้อยลง
เปรียบไปก็เหมือนกับการที่สมองเรานั้น
แทนที่จะได้ “อาหาร” ก็กลายเป็นได้
“ขยะ” หรือได้ “ยาพิษ” และต่อไปนี้ก็คือข่าวสารข้อมูลบางส่วนที่ผมคิดว่าเราควรใส่ใจมากน้อยแค่ไหน และเราควรเชื่อหรือไม่ เอาเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนโดยตรง
ข้อมูลข่าวสารเรื่องแรกที่เรามักพบเจอเป็นประจำก็คือ
การคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นหรือดัชนีหุ้นในปีนี้หรือปีหน้า สำหรับผม
นี่เป็น “ขยะ” เพราะการคาดการณ์ตลาดหุ้นอย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีใครทำได้ดูจากสถิติที่ผ่านมา เหตุผลก็คือ
ภาวะตลาดหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับเหตุการณ์มากมายที่จะเกิดขึ้นในประเทศและในโลก เหตุการณ์เหล่านั้นมักจะเกิดขึ้นโดย “ไม่คาดฝัน” ดังนั้น ภาวะตลาดหุ้นก็มักจะเป็นไปอย่าง “ไม่คาดฝัน” ก็ใครจะไปคิดว่าปี 2552
ที่ทุกคนคิดว่าจะเป็นปี “เผาจริง” ของภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยนั้น จะกลายเป็น “ปีทอง”
ที่ทำให้ตลาดหุ้นคึกคักกันทั่วโลก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว
เวลาฟังใครคาดการณ์เกี่ยวกับดัชนีตลาดในปีนี้หรือปีหน้า อย่าไปคิดจริงจังอะไร
พวกเขาต้องคาดเพราะมีคนจำนวนมากอยากฟังเท่านั้น ไม่ได้แตกต่างอะไรกับหมอดูที่ต้องตอบคำถามของคนที่กำลังสับสนและกังวลกับ
ชีวิตในอนาคตของตนเอง
เรื่องของ “Dr.
Doom” หรือคนที่มาบอกว่า “โลกกำลังจะแตก” ประเทศไทยกำลังวิบัติ เกิด “กลียุค” ถึงกับล่มสลาย เหล่านี้
ฟังแล้วก็อย่าไปเชื่อหรือกังวล
เพราะหลายคนที่พูดนั้นก็พูดกันเกือบทุกปี ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอะไร
ความจริงก็คือโอกาสที่จะเกิดนั้นน่าจะต่ำมาก
เช่นเท่ากับโอกาสที่เราจะเดินออกนอกบ้านแล้วถูกฟ้าผ่าตาย
ถ้าเราก็ยังเดินออกนอกบ้านทุกวันผมก็ไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะยังลงทุนในตลาด
หุ้นเป็นปกติ จำไว้ว่า “ดร. ดูม” นั้นมีอยู่ทุกประเทศ และก็แน่นอน
นาน ๆ ก็มี ดร. ดูม
ที่พยากรณ์ถูกต้อง
ก็คงเป็นอย่างที่พูดกันว่า
แม้แต่นาฬิกาตายก็ยังบอกเวลาได้ถูกต้องวันละหนึ่งครั้ง ดังนั้น
อย่าสนใจการพยากรณ์แบบ ดร. ดูม
ถ้าไม่แน่ใจในอารมณ์ของตัวเองก็อย่าไปอ่าน
เพราะมันเป็น “ขยะข่าวสาร”
เรื่องของเท็คนิคใหม่ ๆ
ในการลงทุนที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม
นี่ก็เป็นข้อมูลข่าวสารที่มีการเสนอออกมามากมาย ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นเรื่องของประสบการณ์ของเจ้าตัวที่อ้างว่าสามารถทำกำไร
ได้งดงามจากเท็คนิคที่ “ค้นพบเอง” เท็คนิคเหล่านั้นเกือบทั้งหมดมักจะไม่มีเหตุผลที่เข้มข้นรองรับแต่ชื่อที่
ใช้เรียกก็มักจะน่าประทับใจชวนให้คิดว่าเป็นเทคนิคที่ตอบโจทย์ที่คนหลายคน
กำลังแสวงหาคำตอบอยู่ สำหรับผมแล้ว เท็คนิคใหม่ ๆ
แปลก ๆ
นั้นเกือบทั้งหมดก็เป็น “ขยะ” มีคนเคยถาม วอเร็น บัฟเฟตต์ ว่ามีเท็คนิคอะไรพิเศษจึงสามารถสร้างผลงานสุดยอด เขาบอกว่า
เท็คนิคก็เป็นเรื่องเก่าที่มีคนอื่นโดยเฉพาะ เบน เกรแฮม
ได้คิดไว้แล้วทั้งนั้นไม่มีอะไรใหม่
เขาเพียงแต่เอามันมาใช้ได้อย่างถูกต้องเท่านั้น
ข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าต้องระวังเวลาอ่านก็คือเรื่องของ ผลการลงทุน
ของ “เซียน” หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องของการศึกษาทางวิชาการจริง
ๆ มีตัวเลขข้อมูลที่สนับสนุนชัดเจน เช่น ผลการลงทุนของกองทุนรวมที่มีข้อมูลเปิดเผยและเป็นตัวเลขจริง ข้อมูลของบริษัทอย่าง เบิร์กไชร์ ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือการศึกษาทางวิชาการเปรียบเทียบผลตอบแทนของกลยุทธ์แบบ Value กับ Growth ที่มีเกณฑ์แน่นอนและทำอย่างมาตรฐาน
แบบนี้ เราก็พอเชื่อถือได้ แต่การ “อ้าง” ว่าได้ผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้โดยไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้สนับสนุน หรือการทำโพล์ทางอินเตอร์เน็ตนั้น ผมคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าเชื่อถือ เหตุผลก็คือ
มันจะมี Bias หรือความลำเอียง นั่นก็คือ
คนที่ได้ผลตอบแทนดีก็จะมาตอบแบบสอบถามมากกว่าคนที่มีผลงานแย่
คนบางคนก็บอกผลตอบแทนที่อาจจะไม่จริงแต่มีแนวโน้มไปในทางสูงเพื่อที่จะแสดง
ว่าตนเองมีความสามารถสูงซึ่งก็เป็นเรื่องของแรงจูงใจของมนุษย์ทุกคน ดังนั้น
เมื่ออ่านข้อมูลเหล่านั้น
อย่าไปเชื่อ
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสงครามเวียตนามที่ทหารสหรัฐและเวียตนามต่างก็
คุยว่าสังหารศัตรูได้มากมายในการรบทุกครั้ง
แต่มีคนให้ข้อสังเกตว่าถ้าเป็นจริงตามที่ว่า กองทัพเวียตนามและอเมริกาคงหมดไปนานแล้ว
สุดท้ายก็คือข้อมูลหุ้นรายตัวพร้อมการวิเคราะห์ นี่คือข้อมูลที่มองภายนอกนั้นคือ “อาหาร” แน่
เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของข้อมูลตัวเลขที่เป็นจริงพร้อมการวิเคราะห์ตาม
ข้อมูลที่มีอยู่ ดังนั้น คนที่อ่านข่าวสารข้อมูลก็น่าจะได้ความรู้เกี่ยวกับบริษัท ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จะเสียหายหรือเสียเวลาได้ อย่างไรก็ตาม
เราก็ควรพิจารณาแรงจูงใจของคนที่นำเสนอข้อมูลนั้นด้วยเพราะคงไม่มีใครยอม
เสียเวลานำเสนอข้อมูลให้คนอื่นโดยไม่ได้อะไรตอบแทน ดังนั้น
เมื่ออ่านข้อมูลแล้วก็ต้องคิดด้วยตนเองว่าข้อมูลที่ปรากฏนั้นสมเหตุผลหรือ
ไม่ ราคาหุ้นที่เห็นนั้นคุ้มค่าหรือไม่
ที่สำคัญมีปัจจัยอะไรอื่นไหมที่ทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนพื้นฐานของกิจการทำ
ให้หุ้นมีราคาต่ำกว่าที่ควรเป็น
มิฉะนั้น
การใช้ข้อมูลที่รับมาลงทุนอาจจะกลายเป็นกับดัก สิ่งที่เราคิดว่าเป็นอาหารอาจจะกลายเป็น “เหยื่อล่อ” ที่ทำให้เรา “ติดกับ” หรือขาดทุนได้
10 มกราคม 2553