ในตลาดหุ้นนั้น
เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่ากระทิงกับคำว่าหมีหรือ Bull
กับ Bear กระทิงคือภาวะที่ตลาดหุ้นหรือราคาหุ้นหรือดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตรงกันข้าม
ตลาดหมีคือภาวะที่ดัชนีตลาดปรับตัวลงรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
ยังมีภาวะตลาดหุ้นอีกแบบหนึ่งคือภาวะที่ตลาดหุ้น “ไม่ไปไหน”
คือหุ้นอาจจะขึ้นบ้างไม่มากนักแล้วก็ลงมาไม่มากอีกเช่นกันและก็ขึ้น
ๆ ลง ๆ
แบบนั้นเป็นเวลายาวนาน
ตลาดหุ้นแบบนี้ฝรั่งเรียกว่า Range-Bound
ผมขอเรียกว่าตลาด “หมู” เรามาลองดูว่าตลาดแต่ละแบบที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยนั้นเกิดเมื่อไร มีที่มาที่ไปอย่างไร
เริ่มตั้งแต่เปิดตลาดในปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2521
ซึ่งเป็นปีที่พูดกันว่าหุ้นบูมสุด ๆ
นับเวลาได้ 3 ปี นั้น
ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นมาจากสิ้นปี 2518 ที่ประมาณ 84 จุดเป็น 258 จุด
หรือขึ้นมาเฉลี่ยปีละ 45.3% ทบต้น
ในเวลานั้นผมยังจำได้ว่าเพื่อนบางคนของผมได้กำไรจากหุ้นโดยที่ลงทุนไม่มากแต่เขาบอกว่าสามารถทำเงินได้เดือนละเป็นหมื่นบาทซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมมาก ทุกคนต่างก็เล่นหุ้นระยะสั้นแทบจะเป็นการซื้อขายรายวัน อย่างไรก็ตาม คนเล่นหุ้นก็ยังมีจำกัดมาก
มักอยู่ในกลุ่มคนที่ชอบเก็งกำไรหรือคนที่มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นอย่างเช่นเพื่อนผมที่กำลังเรียน
MBA
ที่มาของกระทิง “ตัวแรก”
ของตลาดหุ้นไทยนั้น
ถ้าพูดว่าเป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ก็อาจจะพูดได้ แต่การเก็งกำไรนั้น ในที่สุดก็ต้องมีแหล่งว่าพวกเขาเก็งจากอะไรโดยเฉพาะในระยะยาว คำตอบก็คือ
“กำไร” และการคาดการณ์ในเรื่องกำไรในอนาคตของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
กำไรนั้นเป็นตัวเลขที่ชัดเจนมีการประกาศเปิดเผยทุกไตรมาศและทุกปี ดังนั้น
เราหาดูได้ไม่ยาก
แต่การคาดการณ์ของกำไรในอนาคตนั้นเอาแน่ไม่ได้ แต่เราก็สามารถดูได้จากการมองโลกในแง่ดี
ความกระตือรือร้นในการที่จะลงทุนซื้อหุ้นของนักลงทุน และอาจจะมองถึงเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารการเงินอื่นเช่นเงินฝากหรือพันธบัตร
เป็นต้น
โชคดีที่ว่าประเด็นทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถหาตัวแทนซึ่งเป็นตัวเลขได้นั่นก็คือ ค่า PE หรือ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น
ของตลาดหลักทรัพย์ นั่นก็คือ ถ้านักลงทุนมีความ “ฮึกเหิม” มั่นใจในตลาดหุ้น พวกเขาก็จะเข้าซื้อหุ้นและทำให้ค่า PE สูงกว่าปกติและทำให้ตลาดกลายเป็นตลาดกระทิง แต่ถ้าพวกเขา “หดหู่”
มองโลกไม่สดใสหรือหวาดกลัว
ก็จะขายหุ้นทำให้ PE ต่ำกว่าปกติ และกลายเป็นตลาดหมี
ตลาดกระทิงตัวแรกของเรานั้นพบว่าเกิดขึ้นเพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นคือเติบโตขึ้นปีละประมาณ
22% แบบทบต้น
ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่โดดเด่นมากแม้ว่าในช่วงนั้นภาวะทางการเมืองอยู่ในภาวะ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” คอมมิวนิสต์กำลังชนะทั้งในเวียดนาม
ลาว และเขมร
ประเทศไทยถูกคาดว่าจะเป็น “โดมิโน” ตัวต่อไป
และการประท้วงของนักศึกษาและการปราบปรามกำลังร้อนแรง
คนมีเงินบางคนถึงกับคิดอพยพจากประเทศไทยไปอยู่ที่อื่น นอกจากเรื่องของผลกำไรแล้ว ดูเหมือนว่าคนในตลาดหุ้นในเวลานั้นซึ่งมีน้อยมากอาจจะยังไม่สนใจเรื่องของการเมืองนัก จึงให้ค่า PE สูงขึ้น ค่า PE ปรับตัวขึ้นจาก
4.98 เป็น 8.46 เท่าหรือเพิ่มขึ้นปีละ 19.32% ทบต้น พวกเขาคงคิดว่าราคาหุ้นในขณะนั้นต่ำมาก อย่างไรก็คุ้มที่จะลงทุน
หลังจากสิ้นปี 2521 เมื่อมีการ “กวาดล้าง” ขบวนการ
“ฝ่ายซ้าย” หมด
ประเทศไทยก็เผชิญกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกเช่นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากจากวิกฤติน้ำมันและอื่น
ๆ ช่วงจากสิ้นปี 21 ถึงสิ้นปี 2529
เป็นเวลา 8 ปี ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง “ตลาดหมู” ดัชนีหุ้นเมื่อสิ้นปี 29 อยู่ที่ 207 จุดจาก 258 จุดหรือเป็นการลดลงปีละ
2.7% ทบต้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนเองก็ลดลงเฉลี่ยปีละ 7.3% ความสนใจในตลาดหุ้นมีน้อยมาก แม้ว่าค่า PE จะปรับตัวขึ้นบ้างจาก
8.46 เท่าเป็น 12.4 เท่า แต่ก็ไม่สามารถผลักดันราคาหุ้นให้ขึ้นมาได้ แต่นักเศรษศาสตร์ก็พูดกันว่าช่วงนี้เป็น “ฐาน” ของการที่ประเทศไทยจะ “โชติช่วงชัชวาล”
ในเวลาอีก 7 ปีต่อมา
ช่วงสิ้นปี 2529 ถึง สิ้นปี 2536
เป็นตลาดกระทิงอย่างแท้จริง
ผลจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นสู่ประเทศไทยและการเปิดเสรีการเงินที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อย่างสะดวกทำให้เศรษฐกิจไทยสดใสและบริษัทจดทะเบียนสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นปีละประมาณ
21% ทบต้นต่อกัน 7 ปี เช่นเดียวกัน ค่า PE
ปรับตัวขึ้นปีละ 11%
เนื่องจากเงินต่างประเทศและความสนใจในการลงทุนของคนไทย สิ้นสุดปี 36 ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเป็น
1683 จุด หรือเพิ่มปีละ 34.9% ทบต้นเรียกได้ว่าเป็น “ซุปเปอร์บูม” คนเล่นหุ้นรวยกันทั่วหน้า และบังเอิญว่าผู้จัดการตลาดในช่วงนั้นก็ชื่อ “มารวย” ด้วย
อย่างไรก็ตาม
ตลาดหุ้นในช่วงท้ายนั้นดูเหมือนจะแพงมากเพราะค่า PE ของตลาดสูงถึง
26 เท่า
“ฟองสบู่” ในเศรษฐกิจและตลาดหุ้นหลังจากปี
2536 คงเริ่มแตกและแตกจริง ๆ ในปี 2540
ที่ไทยต้องลดค่าเงินและเข้าโครงการ IMF และต่อไปจนถึงปี 2543
ดัชนีตกจาก 1683 จุดเหลือเพียง 269 จุดหรือเป็นการตกลงปีละ 23% ทบต้น 7 ปี
รวมแล้วหุ้นตกลงไป 84% และเป็นตลาดหมีที่รุนแรงที่สุด
บริษัทจดทะเบียนมีกำไรลดลงปีละ 3.93% โดยเฉลี่ย
คนแทบจะเลิกเล่นหุ้นหรือถึงจะอยากก็ไม่มีเงินทั้ง ๆ ที่ราคาหุ้นถูกมากค่า PE ที่เคยสูงถึง
26 เท่า เหลือเพียง 5.5
เท่าและนี่เป็นการสร้างฐานที่จะทำให้หุ้นบูม กลายเป็น “กระทิงตัวใหญ่” ในช่วงเวลาต่อมา
จากสิ้นปี 2543 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 10 ปี นั้น ดูเหมือนว่าหุ้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นและเป็น “กระทิงดุ” และทั้ง ๆ
ที่มีสภาวะความวุ่นวายทางการเมืองมากมายรวมถึงเหตุการณ์รุนแรงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจในระดับโลก หุ้นไทยก็ “เดินหน้า”
ไปเรื่อย ๆ จากดัชนี 269
เพิ่มขึ้นเป็น 992 จุดในช่วงนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นถึงปีละ
13.9% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น
ดูเหมือนว่าคนไทยตั้งแต่ระดับชั้นกลางขึ้นไปจะสนใจลงทุนในหุ้นมากขึ้นเรื่อย
ๆ ทำให้ค่า PE เพิ่มขึ้นจาก
5.5 เท่าเป็น 15.5 เท่า
ในขณะที่ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นน้อยมากเพียงปีละ 2.8% โดยเฉลี่ย
ซึ่งถ้าวิเคราะห์ก็จะดูเหมือนว่ากระทิงรอบนี้มาโดย “ไม่มีเนื้อ” พูดง่าย ๆ
หุ้นขึ้นเพราะการมองโลกในแง่ดีและราคาหุ้นที่ถูกมากเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ ราคาหุ้นก็ไม่ถูกอีกต่อไปแล้ว คำถามก็คือ
อนาคตจากนี้ไป อะไรจะมา “รับลูกต่อ” คำตอบคือ ต้องเป็นกำไรของบริษัทจะทะเบียนที่จะต้องเพิ่มขึ้น หรือไม่
คนก็จะต้องมองหุ้นในแง่ดีขึ้นไปอีก
มิฉะนั้น
กระทิงตัวนี้ก็ไม่อาจจะเดินต่อไปได้
26 ตุลาคม
2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น