วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

In Search of Super Stock



Value Investor ในเมืองไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือและยกย่อง วอเร็น บัฟเฟตต์  แต่น้อยคนที่จะทำตามวิธีการลงทุนของเขาที่เน้นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมหรือที่เรียกกันว่า  Super Stock  เหตุผลคงเป็นว่า  ข้อแรก  Value Investor ในตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างจะเน้นในเรื่องของ ราคาซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เสนอโดย เบน เกรแฮม  ในขณะที่  คุณภาพของกิจการนั้น  นักลงทุนคิดว่าเป็น  ตัวประกอบ  พูดง่าย ๆ  ถ้าราคาหุ้น ไม่ผ่าน   ก็ไม่ต้องดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไร  ข้อสอง  เหตุที่นักลงทุนไม่ชอบลงทุนในหุ้น Super Stock นั้น  เพราะไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม  ถ้าจะว่าไป  หลายคนก็ยังสงสัยว่าในเมืองไทยนั้นมีหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Super Stock แบบในสหรัฐอเมริกาจริง ๆ  หรือเปล่า   และสุดท้ายก็คือ  Value Investor อาจจะคิดว่า  การหาหุ้นถูกซื้อแล้วขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปหาหุ้นถูกตัวใหม่น่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าการซื้อหุ้น Super Stock แล้วถือยาวแบบ บัฟเฟตต์

ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน  แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร  และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock มักจะเป็นหรือมีอยู่

ข้อแรก  Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า  Durable Competitive Advantage [DCA] หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก  โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ  อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น  และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้  เรื่องของ DCA นี้  บ่อยครั้ง  นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด  เอา  ความได้เปรียบชั่วคราว  มาเป็นความได้เปรียบที่ ยั่งยืน

ข้อสอง  หุ้นสุดยอดนั้น  จะต้องอยู่ในช่วงของ  Virtuous Circle  หรือ วงจรแห่งความรุ่งเรือง  นั่นก็คือ  ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น   ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก  เช่นต้นทุนลดลงไปอีก  ในเวลาเดียวกัน  สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น  เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก  นั่นคือ  ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก  และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ ยึดครองตลาดนั้นได้  พูดง่าย ๆ  เราสามารถมองคร่าว ๆ  ได้ว่าในอนาคตระยะยาว  บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก  และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อสี่  การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก  คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน  กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

ข้อห้า  บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก  กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก  หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี

ข้อหก  บริษัทมี  Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก  และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น

ข้อเจ็ด  ผู้บริหารมักจะ  เก่งและได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก  พนักงานของบริษัทมักจะ ดีและมี ความสุขเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ  ไป

ข้อแปด  หุ้น  Super Stock นั้น  มักจะไม่เคยมีราคา  ถูกยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ   ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต  และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด  เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า

ทั้งหมดนั้นก็เป็นคุณสมบัติหลัก ๆ ของ Super Stock  แน่นอนใน Super Stock เองก็มีดีกรีที่ไม่เท่ากัน  บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง   และที่ชัดเจนก็คือ  บริษัทในประเทศไทยนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ Super Stock ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก  อย่างไรก็ตาม  มูลค่าของกิจการหรือ Market Cap. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย  ดังนั้น  เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน

Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock  แต่การเรียนรู้เรื่องของ  คุณสมบัติของบริษัทนั้นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น  ตัวประกอบ  ในการเลือกหุ้นลงทุน  นั่นก็คือ  หลังจากพบหุ้นที่  ราคาถูก  เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว  ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่าบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน  ถ้าทำได้แบบนี้  ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ  สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า  ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด  แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท

 1  กุมภาพันธ์  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น