ในการวิเคราะห์หุ้นแบบ VI นั้น เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ธุรกิจของบริษัท ในการวิเคราะห์ธุรกิจของบริษัทนั้น
เราจำเป็นต้องวิเคราะห์การแข่งขันระหว่างบริษัทกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม
หรือธุรกิจเดียวกัน
ในการวิเคราะห์การแข่งขันเราต้องวิเคราะห์ว่าบริษัทและคู่แข่งต่าง ๆ นั้นอยู่ใน
“ตำแหน่งทางการตลาด หรือมี “Positioning” อย่างไร คำว่า Positioning นั้นก็คือตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ “ในจิตใจ” ของลูกค้า เช่น “รถยี่ห้อนี้เป็นรถที่หรูที่สุด” “ยาสีฟันยี่ห้อนี้แก้เสียวฟันดีที่สุด” “ผลิตภัณฑ์นี้ขายดีเป็นอันดับหนึ่ง” “ร้านเครือข่ายสรรพสินค้านี้ขายดีเป็นอันดับสอง” เป็นต้น การวิเคราะห์เรื่อง Positioning นี้
จะทำให้รู้ว่าบริษัทไหนจะชนะหรือแพ้
กลยุทธอันไหนของบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว พูดให้ง่ายก็คือ ถ้าบริษัทหรือสินค้าของบริษัทอยู่ในตำแหน่งทางการตลาดที่ดีแล้วละก็ การแข่งขันก็จะได้เปรียบ กำไรก็มักจะต้องดี
และที่สำคัญก็คือคู่แข่งจะเข้ามาแย่งตำแหน่งได้ยาก
และนี่คือแนวความคิดทางการตลาดที่นำเสนอโดย แจ็ค เทร้า
กูรูทางการตลาดชื่อดัง
ประเด็นที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือเรื่องคำว่า “ในจิตใจ” นั่นคือ เรื่องของ Positioning นั้น เป็นเรื่องของความเชื่อ หรือความรู้สึก ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ผลิตภัณฑ์ของคุณอาจจะดีที่สุดหรือปลอดภัยที่สุด
แต่คนส่วนใหญ่เชื่อและรับรู้ว่าสินค้าที่ดีหรือปลอดภัยนั้นเป็นอีกตัวหนึ่ง แบบนี้สินค้าของคุณก็ไม่มีความหมาย ในการพูดถึง
Positioning นั้น
แจ็ค เทร้า ได้อธิบายถึง “ธรรมชาติ” ของจิตใจที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์เรื่อง
Positioning ได้อย่างเข้าใจได้ง่าย
ธรรมชาติข้อแรกของจิตใจก็คือ จิตใจนั้นมีความจำกัด นั่นคือ
มันรับข้อมูลใหม่เฉพาะที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมนั้น จิตใจจะไม่ยอมรับ และโดยปกติ
ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งคนเราจะไม่สามารถจำหรือจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้เกิน 7
อย่างและนั่นเป็นที่มาว่าทำไมเราจึงมี 7
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
หรือสโนว์ไว้ท์กับคนแคระทั้งเจ็ด
ธรรมชาติข้อนี้ทำให้คนไม่สามารถจำหรือรับรู้สินค้ายี่ห้อต่าง ๆ ได้มากมายเช่นเดียวกับที่ไม่ยอมรับสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อที่มีอยู่ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าคนเชื่อว่ายาสีฟัน A
นั้นแก้เสียวฟันดีที่สุด เขาจะไม่ยอมรับหรอกว่ายาสีฟัน
B นั้นแก้ได้ดีกว่าแม้ว่าคุณจะโฆษณามากมายแค่ไหนก็ตาม นอกจากนั้น
ถ้าถามว่าคุณจำชื่อยาสีฟันได้กี่ยี่ห้อและแต่ละยี่ห้อช่วยอะไรบ้าง คำตอบก็คือ
ไม่เกิน 7
ข้อสอง
จิตใจเกลียดความสับสน
อะไรที่ฟังดูยุ่งยากซับซ้อนนั้นคนก็จะไม่จำ ดังนั้น
นักการตลาดที่ฉลาดจะต้องทำอะไรหรือพูดอะไรที่ธรรมดาและเข้าใจง่าย
สินค้าแต่ละอย่างนั้นจะต้องเสนอว่ามันทำอะไรได้หรือมีอะไรที่โดดเด่นเพียง
อย่างเดียว
อย่าพยายามบอกว่ามันดีทุกอย่าง
เช่น รถคันนี้ปลอดภัย หรู ขับขี่สบาย และอื่น ๆ
อีกมาก แบบนี้คนจะสับสน
ข้อนี้หลายคนอาจจะบอกว่าไม่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ในโลกยุคใหม่หลายอย่างที่
พูดถึงเรื่อง Convergent
นั่นคือ
ผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่มารวมกันอยู่ในเครื่องเดียวกัน เช่น
คอมพิวเตอร์ที่เป็นทีวีด้วย
เป็นเครื่อง Fax ด้วย และเป็นอะไรอื่น ๆ อีกมาก
เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือที่ทำได้ทุกอย่างทั้งส่ง อีเมล ดูหนัง เป็น organizer เป็นต้น ข้อนี้
แจ็ค เทร้า บอกว่าไม่จริง
อย่างไรเสียผลิตภัณฑ์ที่ “ทำได้ทุกอย่าง” นั้นก็ไม่มีทางสู้ผลิตภัณฑ์ที่ “ทำงานได้ดีมากในเรื่องที่ลูกค้าต้องการ”
เพียงอย่างเดียว
ข้อสาม
จิตใจนั้นไม่มั่นใจ
จิตใจมักจะยึดอารมณ์มากกว่าเหตุผล
อย่างเรื่องการซื้อของนั้น
คนเรามักจะ “ซื้อตามคนอื่น” แม้ว่าเขาจะบอกว่าเขาซื้อเพราะอะไรแต่จริง ๆ อาจจะไม่ใช่ เหตุผลก็คือ
คนเรามักจะกลัวความเสี่ยงที่อาจจะจริงหรือไม่ก็ตาม ความเสี่ยงนั้น อาจเป็นเรื่องความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงในการใช้ผลิตภัณฑ์ ความเสี่ยงจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากสินค้า
ความเสี่ยงทางด้านสังคมเช่นเพื่อนจะคิดอย่างไรกับเราเป็นต้น
การแก้หรือการจับจุดอ่อนนี้ของคนเพื่อที่จะขายของมีหลายอย่างเช่น การใช้คนดังคนเด่นที่เป็นดาราหรือนักกีฬามารับรองผลิตภัณฑ์
การสร้างกระแสว่าคนมากมายต่างก็ใช้สินค้านี้เพราะมันมียอดขายอันดับหนึ่ง หรือใช้ความเก่าแก่ของผลิตภัณฑ์ที่มีมานับชั่วอายุคนเป็นจุดขายเป็นต้น
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องของการซื้อหุ้นตามกันว่าคงจะเกิดขึ้น
จากการที่ “จิตใจไม่มั่นใจ”
อยู่เหมือนกัน
ข้อสี่
จิตใจไม่เปลี่ยน
นี่เป็นธรรมชาติของคนที่มักต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนทัศนคติของคนเป็นเรื่องที่ยากมาก
ถ้าคุณจะเปลี่ยนคุณจะต้องเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เป็นฐานที่ก่อให้เกิดความ
เชื่อนั้น ซึ่งในเวลาเพียง 30
วินาทีของการโฆษณานั้นทำไม่ได้
ดังนั้น
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีใครหรือบริษัทไหนพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการ
ซื้อหรือการบริโภคของคนหรือเปลี่ยนทัศนคติอะไรของคน อย่าเชื่อว่ามันจะประสบความสำเร็จ
ข้อห้า
จิตใจอาจจะสูญเสียจุดมุ่งเน้นหรือเบลอได้
นี่เป็นกรณีที่เดิมนั้นจิตใจมีความเข้าใจหรือความเชื่อชัดเจนว่าอะไรเป็น
อะไร
เช่นถ้าพูดถึงเบียร์ในสมัยก่อนทุกคนก็จะรู้ว่าเบียร์ยี่ห้อนี้มีรสชาดอย่าง
ไร
แต่ในตอนหลังมีการขยายสายผลิตภัณฑ์กลายเป็นว่าเบียร์ยี่ห้อเดิมแต่มีรสชาด
หลายอย่างตั้งแต่ดีกรีต่ำไปสูงและยังมีแบบดราฟเบียร์อีกต่างหาก นี่ทำให้คนเบลอ
ไม่รู้ว่าเวลาพูดถึงเบียร์ยี่ห้อนี้คุณกำลังพูดถึงแบบไหน ดังนั้น
สำหรับ แจ็ค เทร้า แล้ว การขยายสายผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งต้องห้าม ยี่ห้อสินค้าเดียวต้องเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์เดียว ถ้าต้องการออกสินค้ารุ่นใหม่จะต้องใช้ชื่อใหม่ มิฉะนั้นยี่ห้อเดิมจะเสียหาย การขยายสายผลิตภัณฑ์จะทำให้พวก Specialist หรือสินค้าที่เน้นคุณภาพเพียงอย่างเดียวเข้ามาแย่งตลาดจากเจ้าเดิมได้
พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็คิดถึงดาราหลายคนที่เข้าไปเล่นการเมือง ซึ่งทำให้ยี่ห้อของการเป็นดาราเสียไปในขณะเดียวกันก็ไม่ประสบความสำเร็จทาง
การเมือง นี่ก็อาจเป็นเรื่องที่จิตใจของคน
“เบลอ” ไป
ไม่รู้ว่าเขาเป็นดาราหรือนักการเมือง
และทั้งหมดนั้นก็คือ
ธรรมชาติของจิตใจในสายตาของกูรูการตลาดที่สรุปว่า ความเชื่อนั้นคือของจริง อย่าไปสับสนกับข้อเท็จจริง สิ่งที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือ นี่ไม่ใช่ใช้ได้เฉพาะกับการตลาด แต่มันใช้ประยุกต์ได้กับชีวิตในหลาย ๆ ด้าน
13 กุมภาพันธ์
2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น