วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เปลี่ยน VS ไม่เปลี่ยน


เซียนหรือนักลงทุนที่ มุ่งมั่นนั้น  ดูเหมือนว่าจะมีความคิดเกี่ยวกับอนาคตหรือแนวโน้มของกิจการเป็น  2 แนวทาง   กลุ่มของเซียนที่กล้าได้กล้าเสียมากกว่า  อายุน้อยกว่า  กระตือรือร้นกว่า  และมีสปิริตของ  นักเก็งกำไร”  มากกว่า  พวกเขาจะชอบการลงทุนในบริษัทที่กำลังมีการ  เปลี่ยนแปลง”  ในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ  พวกเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ  และนั่นเป็นโอกาสที่เขาจะซื้อขายหุ้นทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว 

นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรกมาก  พวกเขาน่าจะมีอายุมากกว่า  อนุรักษ์นิยมกว่า  เป็นพวกที่เน้นความปลอดภัยสูง  และมีสปิริตของ นักลงทุนมากกว่าการเทรดหุ้น  พวกเขาจะชอบการลงทุนในบริษัทที่มีความแน่นอนของผลประกอบการและชอบกิจการที่  ไม่เปลี่ยนแปลง”  ในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ  พวกเขาเชื่อว่ากิจการที่มีความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไปง่าย ๆ  นั้น  จะทำให้เขาสามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำหรือใกล้เคียงความเป็นจริง  ดังนั้น  การซื้อหุ้นลงทุนจะมีความผิดพลาดน้อยกว่ากิจการที่มีหรือจะมีการเปลี่ยนแปลงสูง  คนกลุ่มนี้มีความคิดว่าผลตอบแทนที่จะได้จากหุ้นมาก ๆ  นั้น  อยู่ที่การเติบโตของกิจการในอนาคตจากผลิตภัณฑ์เดิม ๆ  ของบริษัท  พูดง่าย ๆ  พวกเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของยอดขายและกำไรของบริษัท  ดังนั้น  วิธีทำเงินก็คือ  ซื้อหุ้นที่มีลักษณะดังกล่าวแล้วถือไว้ยาว ๆ  โดยไม่ต้องทำอะไร  ยกเว้นแต่การคอยติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท

การเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็สามารถจำแนกออกได้เป็นหลาย ๆ  กลุ่มที่เราสามารถพบเห็นในตลาดหุ้นได้ดังต่อไปนี้ 

กลุ่มแรกที่พบได้มากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของบริษัทขนาดเล็กและโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีปัญหาหรือเคยมีปัญหาในการดำเนินงานและกำลัง ฟื้นฟูกิจการโดยผู้ถือหุ้นและผู้บริหารกลุ่มใหม่  การที่เป็นบริษัทขนาดเล็กทำให้การเปลี่ยนแปลงแบบ พลิกหน้ามือเป็นหลังมือนั้นทำได้ง่าย  วิธีการก็คือทำการเพิ่มทุนโดยผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่  แล้วก็ประกาศเปลี่ยนธุรกิจ  จากธุรกิจเดิมเป็นธุรกิจที่ มีโอกาสทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว  อาจจะเพราะผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่เคยทำธุรกิจนั้นอยู่เช่น  ธุรกิจรับเหมาหรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  หรืออาจจะเป็นธุรกิจที่กำลัง ร้อนแรง”  และการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ง่ายเช่น  ธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทนต่าง ๆ  หรือถ้าเป็นบริษัทที่ทำทางด้านบริการก็อาจจะหันไปจับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบันเทิงหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ  เป็นต้น 

การเปลี่ยนแปลง พื้นฐานของกิจการเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างสิ้นเชิงนั้น  ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้ว  ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จ  จริงอยู่  ในระยะยาวบริษัทก็อาจจะมีกำไรและทำให้บริษัทที่เคยมีปัญหาฟื้นตัวได้  แต่ถ้าหากกำไรที่ทำได้นั้น  เป็น กำไรปกติ”  หรือเป็นกำไรที่เหมาะสมกับ เงินลงทุนที่ใส่เข้าไปในบริษัท  ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอาจจะเท่ากับ 10% ต่อปีในระยะยาว  ถ้าเป็นแบบนี้  มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น  ดังนั้น  ราคาหุ้นก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว  ความหมายก็คือ  ใส่เงินใหม่เข้าไปเท่าไร  ราคาหุ้นก็น่าจะเพิ่มขึ้นเท่านั้นในระยะยาว 

อย่างไรก็ตาม  ในระยะสั้น  ราคาหุ้นนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ ความเชื่อ”  ของนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์  ถ้า สปอนเซอร์”  หรือคนที่เข้ามาเปลี่ยนกิจการสามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำกิจการใหม่ให้มีกำไรได้อย่างรวดเร็วและสูงเหมือนกับกิจการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน  คนก็จะเข้ามาซื้อหุ้นและทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  และดังนั้น  คนที่เข้าไปเปลี่ยนกิจการหรือคนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ก่อนก็สามารถขายหุ้นทำกำไรได้มากและรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

กลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานของกิจการที่เป็นบริษัทใหญ่ขึ้นมาและไม่มีปัญหาการดำเนินงานนั้น  น่าจะเป็นกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงในวิธีหรือกลยุทธ์สำคัญในการทำธุรกิจ  ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเทคโอเวอร์กิจการที่เป็นคู่แข่ง และ/หรือ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของตน  และในกระบวนการนั้น  ทำให้เกิดความได้เปรียบเนื่องจากขนาดหรือทำให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ในสายตาของลูกค้า  ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่บริษัทจ่ายไป  ลักษณะนี้จะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับกับ  พื้นฐานใหม่”  คนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ก่อนในราคาต่ำก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ  และก็เช่นเดียวกัน  ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไปทันทีเพียงเพราะว่านักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนเชื่อว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นจริง  อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวแล้ว  ผลประกอบการที่ประกาศออกมาจะเป็นตัวกำหนดว่าพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ดีขึ้นหรือเลวลง และราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานนั้น 

คนที่  หากินกับความเปลี่ยนแปลงของกิจการนั้น  บ่อยครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานระยะยาวจริง ๆ  พวกเขามองหาการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นและมีผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อผลการดำเนินงานของบริษัท  ตัวอย่างเช่น  บริษัทหรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายนั้น  ถ้าราคาสินค้าหรือบริการกำลังปรับตัวขึ้นและเขาคิดว่าด้วยความไม่สมดุลของการผลิตและการบริโภคที่กำลังเกิดขึ้นจะทำให้ราคาโภคภัณฑ์มีการปรับตัวขึ้นไปอีกมาก  แบบนี้  การซื้อหุ้นไว้ก่อนก็จะทำให้ได้กำไรมหาศาล  อย่างไรก็ตาม  คนที่สามารถคาดการณ์ได้จริง ๆ  ก็หาได้ยาก  โอกาสผิดพลาดมักจะมีสูง 

การเล่นหุ้นที่กำลังมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น  เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  บ่อยครั้งเราไม่จำเป็นต้องคาดถูกหรือคาดผิดด้วยซ้ำ  เราเพียงแต่คาดถูกต้องว่า  คนอื่นเชื่ออย่างไรเพราะราคาหุ้นในระยะสั้นนั้นอยู่ที่ความเชื่อไม่ใช่ความจริง   ผลตอบแทนของการคาดการณ์ถูกต้องนั้นสูงมาก  เช่นเดียวกัน  ผลตอบแทนจากการคาดผิดก็เลวร้ายได้ไม่แพ้กัน  อย่างไรก็ตาม  คนที่เล่นเกมนี้ต้องเข้าใจว่ามีบางคนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่น  อย่างน้อย สปอนเซอร์”  ก็รู้ดีกว่าคนนอก  ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีพลังการซื้อและการชี้นำสูงก็อาจจะได้เปรียบรายย่อยที่เป็นฝ่ายรับข้อมูลมากกว่า 

กลับมาในกลุ่มของคนที่หากินกับการ  ไม่เปลี่ยนแปลง”  นี่คือยุทธศาสตร์การลงทุนที่ น่าเบื่อ”  เพราะโดยตัวธุรกิจเองนั้น  ธุรกิจที่บริษัททำอยู่นั้นมักเป็นธุรกิจที่ไม่ใคร่มีความคิดสร้างสรรค์มากมายนัก เป็นธุรกิจที่เรียกว่า รูทีนทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นมานานส่วนใหญ่อาจจะนับสิบๆปี หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่เข้าข่ายก็มักจะเป็นกิจการที่ แข็งแกร่งหรือ ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านการตลาดและการเงินเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน ผลประกอบการนั้นมักจะคาดการณ์ได้แต่การเติบโตขึ้นเป็นหลายสิบหรือร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็เป็นไปไม่ได้  ตัวหุ้นเองก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้นหรือลงหวือหวา  ดังนั้น  ถ้าคนชอบที่จะมีชีวิตการลงทุนที่มั่นคงพอสมควรและไม่ต้องการความกังวลใจกับการลงทุนตลอดเวลา  นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจและในระยะยาวแล้ว  ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยก็อาจจะไม่แพ้การลงทุนที่เน้นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสำหรับนักลงทุนที่มีศักยภาพพอ ๆ กัน





     10 สิงหาคม  2554

สุลต่านในฮาเร็ม


ลองจิตนาการดูว่าจะมีความสุขแค่ไหนถ้าเราเป็นสุลต่านที่มีความมั่งคั่งและอำนาจเด็ดขาดที่สามารถสั่งการเรื่องใดก็ได้ในอาณาจักรของตนเอง  ทุกเช้าเวลาสิบโมงตรง  หญิงงาม 500 คน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามจะถูกบัญชาให้เดินเรียงแถวเข้าเสนอตัวให้สุลต่านคัดเลือกเพื่อให้เป็นนางบำเรอหรือเป็นคู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขแล้วแต่ที่สุลต่านจะต้องการ

สาวงามแต่ละคนต่างก็อวดโฉมและเสนอตัวด้วยมารยาต่าง ๆ  เพื่อหวังจะได้รับเลือกให้เป็นคู่ของสุลต่าน  การได้รับเลือกเป็นความฝันสูงสุดของทุกคน   สุลต่านเองก็มีประวัติและข้อมูลเฉพาะตัวเกี่ยวกับหญิงสาวเช่น  อายุ ความสูง  ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย  รวมถึงอุปนิสัยและความสามารถต่าง ๆ   อย่างไรก็ตาม  ด้วยจำนวนสาวงามที่มากมาย  ดูเหมือนว่าการเลือกสาวดูเหมือนจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย  คำถามก็คือ  จะเลือกไว้ซักกี่คน  และจะเลือกคนไหน  ที่จะทำให้เกิดความสุขสูงสุด?

ถ้าเป็นสุลต่านที่กำลังมีความกำหนัดสูงและไม่ทันได้คิดถึงอนาคตที่ตามมา  พระองค์ก็จะรีบที่จะเลือกสาวตั้งแต่คนต้น ๆ   สาวที่พระองค์คิดว่ามีความงดงามหรือมีจริตกริยาน่ารักน่าใคร่ก็จะถูกเลือกไว้อย่างรวดเร็ว  ในไม่ช้าและก่อนที่จะถึงสาวคนสุดท้าย  พระองค์ก็จะได้ นางบำเรอ”  จำนวนมากมาเป็นคู่  ชีวิตหลังจากนั้น  ดูเหมือนว่าจะสับสนวุ่นวาย  สุลต่านไม่รู้แม้แต่ชื่อของหญิงทุกคนที่มาสัมพันธ์กับตนเองไม่ต้องพูดถึงความ โรแมนติกที่จะได้รับจากการที่ได้กอดกับผู้หญิงที่รู้และเข้าอกเข้าใจ 

ไม่เป็นการดีกว่าหรือที่สุลต่านจะเลือกหญิงงามแค่ซัก 7 คน  อืม..ซัก 6 คนก็น่าจะพอ  เพราะการ  ได้พัก”  สักหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์น่าจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าการ มีความสุขทุกวันโดยไม่ได้พักเลย  ดังนั้น  สิ่งที่สุลต่านควรทำก็คือการกำหนดตั้งแต่ต้นว่าตนต้องการผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ที่จะเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี  และมีความผูกพันที่ลึกซึ้งยาวนานพอสมควร  ไม่ใช่ความสัมพันธ์อันฉาบฉวย  จำนวนเพียง 6 คน  ไม่ใช่สาวงามเป็นสิบ ๆ  หรือเป็นร้อยคน 

การเลือกสาวงามเพียง 6 คนจากจำนวน 500 คนนั้น  ถ้าจะให้สาวงามเดินแถวเรียงเข้ามาเพื่อให้พิจารณาคงเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ   สาวงามแต่ละคนก็มี จุดเด่น”  และจุดด้อยกันคนละอย่างทำให้ตัดสินใจได้ยาก   เหนือสิ่งอื่นใด  สาวงามแต่ละคนต่างก็พยายาม พรีเซ้นต์”  ตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อหวังให้ได้รับการคัดเลือก  นี่อาจจะทำให้สุลต่าน หลง”  ไปกับสาวงามบางคนที่อาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติที่ดีเท่าที่ควร  ถ้าเช่นนั้นสุลต่านจะทำอย่างไรดี?

วิธีที่จะคัดสาวงามที่จะทำให้ได้คนที่สวยและดีที่สุดก็คือการตั้ง เกณฑ์”  เพื่อจะตัดสาวงามที่มีคุณสมบัติบางประการไม่ถึงขั้นจะเป็นเลิศออก  ตัวอย่างเกณฑ์ข้อหนึ่งก็คือ  สาวที่มีความสูงไม่ถึง  170 เซนติเมตร ก็ไม่ต้องเดินเข้ามาโชว์ตัว  เกณฑ์ข้ออื่น ๆ  อาจจะเป็นเรื่องของส่วนโค้งส่วนเว้าหรือคุณสมบัติอื่น  ๆ   ที่เป็นที่ต้องการของสุลต่าน  ยิ่งต้องการคนน้อยเท่าไรเมื่อเทียบกับจำนวนคนทั้งหมด  เกณฑ์ก็จะต้องเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น  บางทีแค่ว่าตาเล็กใหญ่ไม่เท่ากันก็ต้องถูกคัดออกแล้ว  ด้วยวิธีการแบบนี้  สุลต่านก็จะเหลือสาวงามจำนวนไม่มากที่จะพิจารณาคัดเลือก  และนางงามเหล่านี้ต่างก็จะต้องสวยสดงดงามระดับนางงามอยู่แล้ว  มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถผ่านเกณฑ์ที่เข้มงวดมาได้  ถึงขั้นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากที่สุลต่านจะได้สาวในฝันมาบำเรอตนเอง 

ในชีวิตจริงเราคงไม่สามารถเลือกสาวดังกล่าว   ในชีวิตจริงนั้น   บางคนก็สามารถเลือกคู่ได้มากกว่าคนอื่น  คนที่มีทรัพย์สมบัติหรือรูปสมบัติที่ดีมาก ๆ  ก็มักมีแนวโน้มที่จะเลือกคนอื่นประเภท  หล่อเลือกได้”  “รวยเลือกได้”  หรือสมัยนี้ก็อาจจะ  สวยเลือกได้”  แต่สำหรับผมเองแล้ว  ดูเหมือนว่าชีวิตนี้มักจะออกในแนว  ถูกเขาเลือก”  ตลอดมา   หลาย ๆ  ครั้งผมคิดว่าผมอยู่ในสถานะที่  เสียเปรียบ”  ไม่ว่าในการทำงานหรือการใช้ชีวิต  บ่อยครั้งผม เสนอตัว”  เพื่อที่จะให้เขาเลือก  เช่นเสนอตัวให้เขาเลือกเป็นพนักงาน  หรือเสนอตัวเพื่อให้เขาเลือกให้เราและบริษัทเราทำงานให้เขา  แต่ก็มักไม่ได้รับการคัดเลือก  ประเด็นก็คือ  คุณสมบัติของเราไม่ดีพอ  หน้าตารูปร่างเราไม่เด่นพอ  เราไม่ได้มาจากสถาบันการศึกษาที่ดีเยี่ยมระดับโลก  อะไรต่าง ๆ  เหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมแต่เราก็ทำอะไรไม่ได้  ได้แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องของ โชคชะตา”  เราไม่ได้เกิดมาเป็น  สุลต่าน” 

แต่ครั้นแล้วผมก็พบว่า  ยังมีสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผมสามารถทำลายความ  ด้อยทุกอย่างที่ผมมี  ในสถานที่แห่งนั้น  ผมจะเป็น  สุลต่าน”  ที่ผมจะเป็นฝ่ายที่เลือกได้ตามอำเภอใจ  ที่นั่นก็คือ  ตลาดหุ้น”  ทุก 10 โมงเช้า  จะมีหุ้นกว่า 500 ตัวเสนอตัวออกมาให้ผมเลือกว่าจะลงทุนซื้อหุ้นตัวไหนโดยที่ผมไม่ต้องแม้แต่จะขอร้องให้ออกมาโชว์ตัว  หุ้นกว่า 500 ตัวนี้  ผมไม่มีความจำเป็นและไม่อยากที่จะมีไว้ครอบครองเกินกว่า 10-20 ตัว  ว่าที่จริงหุ้นที่มีนัยสำคัญที่จะเป็น  คู่แท้”  ที่ผมอยากมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนยาวนานนั้น  ผมคิดว่ามีซัก 6 ตัว ก็เพียงพอและมีความสุขแล้ว  การเกี่ยวข้องกับหุ้นจำนวนมากก็คงเหมือนกับการเกี่ยวข้องกับหญิงสาวของสุลต่าน  มันไม่มีความโรแมนติกเสียเลย 

วิธีการคัดเลือกหุ้นของผมก็เหมือนกับการคัดตัวหญิงสาวของสุลต่าน  ผมตั้งเกณฑ์เข้มข้นว่าหุ้นประเภทไหนบ้างที่ผมไม่สนใจและจะคัดออกจากการพิจารณา  สุลต่านกำหนดว่านางงามของตนนั้นต้องสูงอย่างน้อย 170 เซนติเมตร  หุ้นของผมอาจจะต้องเป็นหุ้นที่  โต”  หรือโตเร็ว  หุ้นที่กิจการไม่โตหรือจะเล็กลงในอนาคตผมจะตัดออก  อะไรทำนองนี้  ถ้าจะว่าไป  เกณฑ์ของผมคงจะเข้มงวดมาก  ผมคิดว่ามีหุ้นหลายร้อยตัวในตลาดที่ผมแทบไม่พิจารณาเลย  ผมทำได้  เพราะผมคิดว่า  ในตลาดหลักทรัพย์นั้น  ผมเป็นสุลต่าน”  ไม่ว่าหุ้นจะ สวยแค่ไหน  ก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเลือกผม  ผมจะเป็นคนเลือกว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อมัน   เหนือสิ่งอื่นใด  ผมต้องการหุ้นแค่ 5- 6 เท่านั้นที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จในการลงทุน 

ประเด็นที่สำคัญสำหรับผมก็คือ  ผมจะต้องตระหนักตลอดเวลาว่า  ผมจะไม่ถูกหุ้น เลือก”   ความหมายก็คือ  หุ้นนั้นก็คงเหมือนหญิง 500 คนที่เสนอตัวให้สุลต่านเลือก   พวกหล่อนต้องแต่งตัวดีและยั่วเย้าเพื่อให้สุลต่านหลงเพื่อจะได้รับการเลือก   หุ้นจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์นั้น  เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับหญิงของสุลต่านที่พยายามยั่วให้คนมาซื้อ   นั่นคือ  ในทุก ๆ  วันจะมีหุ้นบางตัวมีราคาและปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างหวือหวา  และนั่น  ยั่ว”  ให้นักเล่นหุ้นสนใจเข้าไปร่วมซื้อขายอย่างไม่ได้พินิจพิจารณาเป็นอย่างดี  พวกเขาเข้าไปซื้อเพราะหวังกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าที่จริงเขา  ถูกเลือก”  ให้เข้าไป  เล่น”  ในสถานการณ์แบบนี้  โอกาสที่จะได้  หุ้นงาม”  นั้นมีน้อย  แต่โอกาสที่จะเสียจะมีมากกว่า  น่าเสียดายที่คนเล่นหุ้นรายย่อยในตลาดนั้น  ส่วนใหญ่แล้ว  มัก ถูกเลือก”  มากกว่าเป็น  ผู้เลือก     



2 สิงหาคม  2554

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลงทุนแบบผู้หญิง



ความแตกต่างในการลงทุนระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงนั้นมีการพูดถึงกันอยู่เรื่อย ๆ   ในสังคมไทยเรานั้นดูเหมือนจะมีการยอมรับกันพอสมควรว่าผู้ชายนั้นเป็นนักลงทุนที่ดีกว่าโดยมีเหตุผลหลาย ๆ  อย่าง  เช่น  ผู้ชายตัดสินใจได้  เด็ดขาด”  กว่า  ไม่  ลังเล”  แบบผู้หญิง   ผู้ชายกล้าได้กล้าเสียกว่า  ผู้ชายมีความมั่นใจในตนเองสูงกว่า   ผู้ชายฟังคนอื่นน้อยกว่า  และผู้ชายเก่งกว่าในด้านของตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ  มากกว่า  เหล่านี้ เป็นต้น  ด้วยความคิดนี้  ประกอบกับการที่คนมองเห็นแต่  เซียนหุ้น”  ที่เป็นผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่   ทำให้ การลงทุนแบบผู้หญิงนั้น  เป็นวิธีการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ  เป็นการลงทุนที่พึงหลีกเลี่ยงถ้าไม่อยากขาดทุนหรือไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน  แต่ทั้งหมดที่พูดถึงนี้เป็นความคิดของคนไทยที่โลกของการลงทุนยังถูกครอบงำโดยบุรุษเพศ

ในต่างประเทศมีการศึกษาเรื่องจิตวิทยาของผู้หญิงกับการลงทุนมากมายและพบว่าสิ่งที่คนไทยจำนวนมากอาจจะคิดนั้นไม่เป็นจริง  การลงทุนแบบ ผู้หญิงนั้น  เขาพบว่าเป็นวิธีการลงทุนที่เหนือกว่าการลงทุนแบบ ผู้ชาย”   และสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ชาย  แพ้”  นั้น  มีสาเหตุสำคัญหลาย ๆ  อย่าง  เรื่องหนึ่งก็คือ  ผู้ชายนั้นมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไปและสำคัญตนเองผิดว่าตนเองมีความเก่งเหนือกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ย   นี่ทำให้ผมนึกถึงการศึกษาที่ให้คนจัดเกรดตนเองว่าขับรถได้ดีแค่ไหน   ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่มีความเห็นว่าตนเองขับรถได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้  เพราะความเป็นจริงก็คือ  จะต้องมีคนครึ่งหนึ่งที่ขับรถดีกว่าค่าเฉลี่ย  และอีกครึ่งหนึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย  เรามาลองดูกันว่าการศึกษาเรื่องการลงทุนระหว่าผู้หญิงกับผู้ชายเป็นอย่างไร

การศึกษาในตลาดสหรัฐอเมริกาพบว่า  ผู้หญิงมีการซื้อขายหุ้นบ่อยน้อยกว่าผู้ชาย  นั่นแปลว่าผู้หญิงถือหุ้นยาวกว่าผู้ชาย  นี่คงเป็นเรื่องของการตัดสินใจที่ผู้ชายมักจะทำเร็วและเด็ดขาดกว่า   แต่การซื้อ ๆ  ขาย ๆ  หุ้นบ่อยนั้น  ทำให้เกิดค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายสูง  นอกจากนั้นการ  ขาดทุน”  จากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขายก็มักจะ  กินกำไร”  ที่ควรจะได้ไปไม่น้อย   ยิ่งในตลาดอเมริกาที่ต้องเสียภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นด้วยก็ยิ่งทำให้ผลตอบแทนของผู้ชายลดลงเมื่อเทียบกับผู้หญิง

คุณสมบัติข้อต่อมาของผู้หญิงก็คือ  ผู้หญิงมักกลัวความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย  ดังนั้น  คนที่ลงทุนแบบผู้หญิงก็มักจะต้องการ  Margin of Safety หรือส่วนต่างเผื่อความปลอดภัยสูงกว่า  นี่ก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะทำให้การลงทุนแบบผู้หญิงเหนือกว่าการลงทุนแบบที่  กล้าได้กล้าเสีย”  แบบผู้ชาย  จริงอยู่  การลงทุนแบบที่กล้าเสี่ยงมาก ๆ  เช่น  การลงทุนในหุ้นที่ผันผวนมากหรือการใช้มาร์จินซื้อหุ้นเหล่านี้  อาจทำให้นักลงทุนแบบผู้ชาย  รวยไปเลย”  แต่หลายคนที่ผิดพลาดก็  จนไปเลย”  มองในแง่ค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว  การลงทุนที่เน้นความปลอดภัยสูงน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ผู้หญิงนั้นจะมองโลกในแง่ที่ดีน้อยกว่าผู้ชาย  ผู้หญิงมองโลกในแง่ที่เป็นจริงมากกว่า  ดังนั้น  เวลาที่ตลาดสดใสมาก  ผู้หญิงก็จะไม่  ฝันเฟื่อง”  มากเท่าผู้ชาย   เช่นเดียวกัน  เวลาที่ตลาดเลวร้าย  ผู้หญิงก็มักจะไม่ หดหู่เท่าผู้ชาย   มองในแง่นี้  ผู้หญิงก็จะไม่เป็น  เหยื่ออารมณ์ของ  นายตลาด”  เท่าผู้ชาย   พูดง่าย ๆ   ผู้หญิงจะไม่ซื้อขายตามภาวะตลาดมากเท่าผู้ชาย  ซึ่งมักทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มน้อยกว่าผู้ชายที่จะซื้อตอนตลาดแพงและขายตอนตลาดถูก

ผู้หญิงมีความละเอียดลออมากกว่าผู้ชายในเรื่องของการศึกษาหาข้อมูลเพื่อการลงทุน  การ คิดแล้ว คิดอีก”  “อ่านแล้ว อ่านอีก”  จนมั่นใจว่าไม่พลาดแน่นั้น  เป็นวิธีการลงทุนระยะยาวที่ดีกว่าการรีบตัดสินใจซื้อขายโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ  ดังนั้น  นิสัยผู้หญิงแบบนี้จึงเป็นนิสัยการลงทุนที่น่าจะประสบความสำเร็จสูงกว่านิสัยแบบผู้ชายที่มักเอาเร็วเข้าว่า

ผู้ชายมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าผู้หญิง  ผู้ชายมักเชื่อว่าตนเอง  รู้หรือมีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากว่าที่เป็นจริง  ในขณะที่ผู้หญิงนั้น  มักยอมรับว่าพวกเธอรู้เรื่องอะไรบ้าง  และเรื่องอะไรที่ไม่รู้   มองในแง่นี้  ผู้ชายก็อาจจะมีแนวโน้มลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่รู้มากกว่าผู้หญิง  การลงทุนในสิ่งที่ตนเองคิดว่ารู้ดีแต่จริง ๆ  แล้วตนเองไม่รู้นั้น  ย่อมมีอันตรายสูง  ดังนั้น  การลงทุนแบบผู้หญิงในแง่นี้ก็น่าจะมีความปลอดภัยสูงกว่า  และนั่นย่อมหมายความว่าผลตอบแทนในระยะยาวน่าจะต้องดีกว่า

ผู้หญิงเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่าผู้ชาย  พูดง่าย ๆ  ผู้หญิง  เจ็บแล้วจำ”  มากกว่าผู้ชาย  นี่ก็เป็นคุณสมบัติที่ดีในการลงทุน  เพราะการลงทุนนั้น  บ่อยครั้งมากที่เรามักจะทำผิด  ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า”  อาจจะเนื่องจาก  ความโลภ”  ที่อยากจะได้กำไรสูง  ทำให้ลืมบทเรียนความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ก็คิดว่าครั้งนี้  ไม่เหมือนเดิม

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ผู้หญิงนั้นมักจะเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อน  หรืออยู่ใต้อิทธิพลของเพื่อน  น้อยกว่าผู้ชาย  พูดง่าย ๆ  ผู้ชายนั้น  เวลาตัดสินใจอะไร   ถ้ามีเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานจับตาดูอยู่  เขาก็จะมี  แรงกดดัน”  มากกว่าผู้หญิงที่จะต้องทำตามแนวทางของกลุ่ม  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเขารู้ว่าผลตอบแทนการลงทุนของเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานกำลังโดดเด่นมากเนื่องจากพวกเขากำลังเล่นหรือลงทุนในหุ้นบางกลุ่มในภาวะตลาดที่กำลังร้อนแรง  ก็ยากที่ผู้ชายจะอยู่ นิ่งเฉย”    ไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางการลงทุนของตนเองและยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำกว่า  มองในแง่นี้  การลงทุนแบบผู้หญิงก็น่าจะมีหลักการที่มั่นคงและเป็นสิ่งที่ตนเองมีความชำนาญมากกว่า  นอกจากนั้น  ผู้หญิงก็น่าจะมีการตัดสินใจที่อิสระมากกว่าผู้ชาย

ผลการลงทุนของผู้หญิงโดยทั่วไปในอเมริกานั้น  เนื่องจากมีการซื้อขายหุ้นน้อยกว่า  นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผลตอบแทนดีกว่าผู้ชาย  แต่ในด้านของมืออาชีพที่บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ต้องอาศัยฝีมือและอารมณ์ขั้นสูงสุดนั้น  ก็พบว่าผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่เป็นผู้หญิงก็สามารถสร้างผลงานเฉลี่ยที่ดีกว่าผู้ชาย  รวมถึงผลตอบแทนก็สม่ำเสมอกว่าผู้บริหารชาย  ที่สำคัญ  ในยามที่ตลาดเลวร้ายมากนั้น  ผลตอบแทนของผู้บริหารหญิงจะเลวร้ายน้อยกว่าของผู้บริหารชายมาก

หลายคนยังอาจจะสงสัยว่าทำไมนักลงทุนเอกของโลกที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้สูงมากอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์  ปีเตอร์ ลินช์ และอีกหลาย ๆ คนจึงมีแต่ผู้ชาย  แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าการลงทุน  แบบผู้หญิงนั้น  มีประสิทธิภาพเหนือกว่า?   ประเด็นนี้  คำตอบน่าจะมีได้สองทาง  ทางแรกก็คือ  การลงทุนแบบผู้ชายนั้น  มีความผันผวนสูงมาก    คนที่ทำได้ดีก็ดีมาก ๆ  แต่คนที่ทำได้แย่  ผลงานก็ ตกเหวไปเลย  โดยค่าเฉลี่ยก็ต่ำกว่าการลงทุนของผู้หญิง  คำอธิบายอีกทางหนึ่งก็คือ  วอเร็น บัฟเฟตต์  หรือเซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จระดับโลกที่เป็นผู้ชายนั้น  แท้ที่จริงแล้ว  เขาใช้แนวทางการลงทุนแบบ  ผู้หญิง”  ส่วนการที่ยังไม่มีผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็น เซียนระดับโลก”  นั้น   อาจจะเป็นเรื่องของ เวลา”  ก็ได้  เหนือสิ่งอื่นใด  ผู้หญิงเพิ่งจะก้าวเข้ามาในโลกของการลงทุนไม่นานนัก  ในอนาคต  เราอาจจะได้เห็นเซียนที่เป็นผู้หญิงก็ได้  นี่รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ผมคิดว่าในที่สุดก็จะต้องมี เซียนหุ้นหญิงเหมือนกัน     
     
26  กรกฎาคม  2554

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่



หุ้นกลุ่มหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่แทบไม่เคยสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุนระยะยาวเลยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็คือ  หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ที่เรียกว่า  Modern Trade   เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้แทบทุกตัวให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจทั้งในด้านของเงินปันผลและราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  ต่อเนื่องมาตลอด  ที่สำคัญ  แม้ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ  หุ้นส่วนใหญ่มีราคาตกลงมามากมาย  หุ้นกลุ่มค้าปลีกก็ไม่ได้ตกลงมามากนัก  และเมื่อภาวะวิกฤติผ่านไป  ราคาก็กลับมาที่เดิมและปรับตัวสูงขึ้นไปอีก  ถ้าจะพูดไป  หุ้นค้าปลีกในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เป็นทั้งหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้าย  และเป็นหุ้น Growth หรือหุ้นที่เติบโต  อยู่ในตัวเดียวกัน  นอกจากนั้น  หุ้นหลายตัวในกลุ่มเองก็ให้ปันผลในอัตราที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  กลายเป็น  Dividend Stock  หรือ  หุ้นปันผล”  ที่จ่ายปันผลงดงามทุกไตรมาศ  และนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่ม  Modern Trade ส่วนใหญ่มีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัท  หรือมี  PE  สูงมากโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ

ก่อนที่ผมจะพูดว่าทำไมหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่จึงได้ราคาที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ  ผมอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่าหุ้นที่อยู่ในข่าย Modern Trade คือหุ้นในกลุ่มไหน   เนื่องจากหลายคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์  แต่จริง ๆ  แล้วไม่ใช่เสียทีเดียว   เพราะหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ในนิยามของผมนั้น  จะต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ  การขายจะขายผ่านเครือข่ายร้านสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ  ราคาสินค้าที่ขายก็มักจะเท่ากันไม่ว่าจะขายในร้านหรูในกรุงเทพหรือร้านค้าที่อยู่ต่างจังหวัด  ตัวสินค้าเองก็มีความหลากหลายและใกล้เคียงกันในแต่ละสาขา  ระบบการทำงานของสาขาทั้งหมดมักจะต่อถึงกันผ่านสำนักงานใหญ่  ดังนั้น  ข้อมูลการขายสินค้าจะเป็นระบบรวมศูนย์ที่ทำให้การบริหารงานขายมักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเทียบกับร้านค้าแบบ  ดั้งเดิม”  ที่มักจะมีร้านเพียงร้านเดียวหรือมีสาขาน้อยมาก

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพาณิชย์เริ่มตั้งแต่หุ้น  BIGC ซึ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกที่เรียกว่า  Discount Store  แบบที่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่มากที่ขายสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ประจำวันและสินค้าราคาถูกอื่น ๆ  อีกมาก  หุ้น CPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ  7-11 ที่ขายสินค้าปริมาณเล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่เน้นความสะดวกเนื่องจากอยู่ใกล้ชุมชน  หุ้น  HMPRO ซึ่งขายสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้าน  หุ้น GLOBAL ซึ่งขายวัสดุก่อสร้าง  หุ้น IT ซึ่งขายสินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฮเท็คต่าง ๆ  หุ้น  MAKRO ซึ่งขายสินค้าให้กับร้านค้าโชห่วยและกิจการอื่น ๆ  เช่นร้านอาหารหรือโรงแรม  หุ้น  ROBINS ซึ่งทำห้างสรรพสินค้าโรบินสัน    นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพาณิชย์เช่น  หุ้น SE-ED ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือ  หุ้น JMART  ที่ขายโทรศัพท์มือถือ  นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่อาจจะเรียกว่าเป็น Modern Trade ได้เหมือนกันแต่ขายเฉพาะสินค้าจากโรงงานหรือบริษัทของตนเองเป็นหลัก  อย่างหุ้น DCC ซึ่งขายกระเบื้องก่อสร้าง  หุ้น JUBILY ขายเครื่องประดับเพชร  และหุ้น  BGT ซึ่งขายเสื้อผ้า เป็นต้น

จุดเด่นของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  มีหลายประการ  เริ่มตั้งแต่ข้อแรกคือ  มักเป็นกิจการที่มีความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานทั้งยอดขายและกำไร  เหตุผลก็คือ  บริษัทมีการขายสินค้าให้กับคนจำนวนมาก  มักจะเป็นแสนหรือล้าน ๆ ราย  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของยอดขายในแต่ละปีจะไม่มาก  สินค้าที่ขายก็มักจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนซึ่งมักจะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น  นอกจากนั้น  บริษัทสามารถกำหนดราคาขายให้อิงกับต้นทุนของบริษัทได้ค่อนข้างจะทันที  เพราะเป็นกิจการที่ซื้อมา-ขายไป  ทำให้กำไรของบริษัทผันแปรไปตามยอดขายเสมอ
ข้อสอง  กิจการ Modern Trade มักมีความเสี่ยงในการล้มละลายต่ำเนื่องจากบริษัทขายสินค้าเป็นเงินสด  แต่จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อหลายเดือน  ทำให้บริษัทมีเงินสดมากในขณะที่มักจะมีหนี้เงินกู้น้อย  หลายบริษัทไม่มีหนี้เงินกู้จากธนาคารเลยและทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้สูงเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้  บางบริษัทจ่ายถึง  100%  และจ่ายทุกไตรมาศ

ข้อสาม  เนื่องจากกิจการ Modern Trade ในตลาดหลักทรัพย์มักจะเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้าที่ตนเองขาย  เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่  ดังนั้น  บริษัทจึงมีความได้เปรียบคู่แข่งโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับร้านค้าแบบดั้งเดิม  บริษัทจึงมักจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้บริษัทสามารถจะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ  อย่างยาวนานทั้ง ๆ  ที่ตัวอุตสาหกรรมโดยรวมก็อาจจะไม่ได้เติบโตมากนัก  การเติบโตของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  นอกจากจะเติบโตจากร้านสาขาเดิมแล้ว  ยังมักจะเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่ด้วย  ดังนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้หลาย ๆ  ตัวจึงเป็นหุ้นที่ เติบโต”  ระยะยาว  แม้ว่าอัตราการเติบโตของบางบริษัทอาจจะไม่สูงนัก

หุ้นค้าปลีกนั้น  มีผลงานที่ดีและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตลอด  แต่ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ดูเหมือนว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลังจากที่ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งและกำลังมีรัฐบาลที่มีนโยบายในการเพิ่มรายได้ให้กับคนมีรายได้ต่ำโดยการเพิ่มเงินเดือนและการ ประกันราคาสินค้าการเกษตรในระดับที่สูง   ผลจากนโยบายนี้จะทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ  กับอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น  ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายของกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ  นอกจากนั้น  การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในเวลาเดียวกันก็จะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง  จริงอยู่ที่ต้นทุนค่าแรงของบริษัทอาจจะเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทก็น่าจะส่งผ่านต้นทุนนี้ให้กับผู้ซื้อสินค้าได้  เพราะทุกบริษัทก็ต้องจ่ายค่าแรงที่เพิ่มขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น   ดังนั้น  หากเป็นไปตามภาพดังกล่าวนี้  กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้

ประเด็นที่ต้องคำนึงสำหรับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ใช่เรื่องของผลประกอบการหรือความเข้มแข็งของตัวธุรกิจ  แต่น่าจะอยู่ที่ราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นมามากและทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีราคาที่ ไม่ถูกแล้ว   ว่าที่จริง  ถ้ามองจากค่า PE และค่า PB ผมคิดว่าน่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ แพงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์   อย่างไรก็ตาม  ก็อาจจะพูดได้เหมือนกันว่ามันเป็นหุ้นกลุ่มที่ ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงเวลานี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  ในความคิดของผม  หุ้นกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ในเวลานี้  ถ้าจะลงทุนก็คงไม่ใช่แนวทางแบบ  เบน  เกรแฮม ที่เน้นหาหุ้นถูกเป็นหลัก  แต่อาจจะเป็นแนวทางแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์  ที่เน้นลงทุนในหุ้นแบบ ซุปเปอร์สต็อกคือลงทุนในหุ้นที่ดีสุดยอด  ในราคาที่ยุติธรรม  ว่าที่จริง  บัฟเฟตต์เองก็ซื้อหุ้น  วอลมาร์ท ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อไม่นานมานี้  ในราคาที่ไม่ถูกเลย     
     
19  กรกฎาคม  2554