ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นกระทิง
นอกจากหุ้นในตลาดจำนวนมากจะมีราคาปรับตัวขึ้นไปอย่างหวือหวาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายแล้ว
ยังมีหุ้นเข้าจดทะเบียนใหม่ที่เรียกว่าหุ้น IPO (Initial Public
Offering) เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หุ้น IPO เหล่านั้น
หลาย ๆ ตัว ในวันแรกหรือช่วงแรก ๆ ที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น
มีราคาปรับขึ้นจากราคาขายหุ้นครั้งแรกสูงมากพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่มโหฬาร
หุ้น IPO นั้น น่าสนใจหรือไม่สำหรับ Value Investor เรามาดูกัน
ข้อแรก มองในแง่แรงจูงใจของเจ้าของบริษัทที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่เจ้าของต้องการนั้น
นอกจากการระดมเงินเพื่อขยายธุรกิจและการที่ต้องการลดความเสี่ยงโดยการขายกิจการบางส่วนออกไปเพื่อเอาเงินไปใช้หรือลงทุนอย่างอื่นแล้ว
เขาก็ต้องการเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเอง และการที่จะเพิ่มความมั่งคั่งได้ก็คือ
ต้องการขายหุ้นให้ได้ราคาสูงสุดที่คนจะยอมซื้อได้ การที่จะทำอย่างนั้นได้
เขาก็ต้องทำให้บริษัท “ดู” น่าสนใจและมีอนาคตสดใสมากที่สุด
วิธีการทำก็คือ ทำให้เห็นว่าบริษัทมีกำไรดีและ “จะ” เติบโตไปได้อีกมาก เพราะนั่นคือสิ่งที่นักลงทุนต้องการจากการซื้อหุ้น
นักลงทุนยินดีที่จะจ่ายเงินสูงเพื่อซื้อ “ผลประกอบการ”
และ Growth หรือ “การเจริญเติบโต”
ของบริษัท
ประเด็นก็คือ การทำให้บริษัทมีกำไรดีนั้น
เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนักโดยเฉพาะถ้าจะทำเพียง 1-2 ปีก่อนเข้าตลาดหุ้น
ระบบบัญชีโดยเฉพาะในเมืองไทยนั้นผมเชื่อว่าสามารถ “เนรมิต”
เรื่องนี้ได้ ส่วนในเรื่องของ Growth หรือการเจริญเติบโตของกำไรของบริษัทนั้น
ผมก็คิดว่าถ้าจะทำให้เกิดขึ้นหรือทำให้น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นภายในระยะ 1-2 ปี
ก็น่าจะทำได้ง่ายไม่แพ้กันโดยเฉพาะในยามที่คนเล่นหุ้นพร้อมและอยากจะเชื่ออยู่แล้วในยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูม
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าหุ้น IPO จะถูกกำหนดราคาขายที่สูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงในยามที่จองหุ้น
และเมื่อหุ้นเข้าตลาดแล้วราคาก็อาจจะแพงขึ้นไปอีกทวีคูณเนื่องจากผลของการวางแผนหรือ
“แต่งตัว” ให้บริษัท “ดู” มีกำไรดีและมี “อนาคต”
ที่ดียิ่งขึ้นไปอีก
ประเด็นที่สอง ในกรณีที่ไม่ได้มีการ “แต่งตัว” มากมายจนผิดเพี้ยนไปจากตัวตนที่แท้จริงของบริษัท
สิ่งที่ผมก็ยังกังวลเกี่ยวกับหุ้น IPO ก็คือ Track
Record หรือผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา จริงอยู่
หลายบริษัทนั้นเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมายาวนาน แต่ส่วนมากแล้ว
ผลประกอบการที่ดีของบริษัทมักจะปรากฏสั้นมากอย่างมากเพียง 2-3 ปีก่อนเข้าตลาดหุ้น
ดังนั้น
ความสม่ำเสมอของผลประกอบการจึงไม่มีและทำให้ผมไม่แน่ใจว่าบริษัทมีความแข็งแกร่งจริงหรือไม่
ข้อสาม
หุ้นเข้าใหม่จำนวนมากมักเป็นหุ้นที่ผลิตและ/หรือขายสินค้าที่เป็นหรือมีคุณสมบัติแบบ
Commodity หรือสินค้าโภคภัณฑ์
ซึ่งเป็นธุรกิจที่หาความแน่นอนของผลประกอบการยากแต่มักมี “จังหวะหรือโอกาสทอง”
ในช่วงสั้น ๆ ที่วงจรธุรกิจกำลังเป็นขาขึ้น ดังนั้น
หุ้นเหล่านี้จึงมักฉวยโอกาสเข้าจดทะเบียนขายหุ้นในยามที่ตลาดเอื้ออำนวย
ซึ่งจะทำให้สามารถขายหุ้นได้ราคาและราคาหุ้นสูงขึ้นไปอีกอย่างน้อยในระยะหนึ่งหลังการเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ข้อสี่ หุ้น IPO ส่วนใหญ่นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็กและจำนวนหุ้นที่เริ่มเข้ามาซื้อขายหมุนเวียนในตลาดในวันแรกก็มีน้อยมาก
บางบริษัทอาจจะมีเพียง 200-300 ล้านบาท หรือในกรณีของบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาด
MAI นั้นอาจจะมีเพียง 100-200 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับพอร์ตหรือเม็ดเงินลงทุนของนักเล่นหุ้นโดยเฉพาะที่เป็น “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นที่ว่ากันว่ามีพอร์ตเป็นพัน ๆ
ล้านบาทนั้น ก็ถือว่าหุ้น IPO นั้นสามารถที่จะถูก “ปั่น” ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด นั่นก็คือ
ถ้ามีรายใหญ่ดังกล่าวแม้เพียงรายเดียวต้องการ
เขาอาจจะสามารถซื้อหุ้นทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ซึ่งจะทำให้เขาสามารถ “กำหนด” ราคาหุ้นได้ว่าจะให้หุ้นมีราคาซื้อขายในวันที่เข้าตลาดที่ราคากี่บาทต่อหุ้น
ดังนั้น “พื้นฐาน”ของบริษัท
จึงแทบจะไม่มีความหมายหรือความสัมพันธ์กับราคาหุ้น
จากประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น สำหรับผมแล้ว หุ้น IPO
นั้น
มักเป็นหุ้นที่ผมจะหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะถ้าจะถือเพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว
ราคาขายหุ้นจองนั้น ถ้าไม่ใช่หุ้นรัฐวิสาหกิจผมเชื่อว่าน้อยครั้งที่จะถูกกว่าพื้นฐานตามที่ที่ปรึกษาและผู้รับประกันการจำหน่ายหุ้นอ้าง
ผมเชื่อตามคำพูดส่อเสียดที่ว่า IPO แปลว่า It
Probably Overpriced หรือ “มันน่าจะมีราคาสูงเกินไป”
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้น IPO บางตัวก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
การที่จะดูว่า IPO ตัวไหนอาจจะเป็นข้อยกเว้นนั้น
คงต้องดูในแต่ละประเด็นที่ผมพูดถึง ถ้าดูแล้ว มี “อาการ”
หลาย ๆ อย่างที่เข้าข่ายน่าสงสัยว่าจะเป็น “มะนาว”
นั่นคือ
เป็นหุ้นที่ซื้อแล้วมีโอกาสขาดทุนเพราะเป็นหุ้นที่มีการแต่งตัวมาขายอย่างน่าเกลียดเราก็ควรจะหลีกเลี่ยง
ที่ยิ่งต้องระวังมากกว่านั้นก็คือ อย่าเข้าไปเล่นหลังจากที่ราคาหุ้นสูงขึ้นไปมากจากราคา
IPO หลังจากที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดแล้ว
ทั้งหมดที่พูดนั้นก็คือเป็นกรณี “โดยทั่วไป” แต่ในยามที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิงเปลี่ยวแล้วเราคิดว่าคนกำลัง
“เล่น” หุ้น IPO อยู่
และเราเชื่อว่า “ตลาดยังไม่วาย” การจองซื้อหุ้น
IPO ก็อาจจะมีโอกาสทำกำไรได้ดี ผมเองก็จองถ้าได้รับ “จัดสรร” มา อย่างไรก็ตาม
ผมคงไม่เข้าไปซื้อในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายแน่นอนและคงไม่ซื้อในราคาสูงกว่าราคาจอง
ตรงกันข้าม มีโอกาสที่ผมจะขายค่อนข้างเร็ว บางทีอาจจะเป็นวันแรกที่หุ้นเข้าตลาด
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมคำนึงถึงเสมอก็คือ การซื้อหุ้น IPO เป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ล้วน
ๆ
14 พฤศจิกายน
2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น