วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เจ้ามือป๊อกเด้ง



เมื่อผมเข้ามาอยู่ในแวดวงของการลงทุนเต็มตัว  บ่อยครั้งผมคิดถึงประสบการณ์เก่า ๆ  ที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม  พนัน  ที่ผมเคยทำมา  ส่วนใหญ่แล้ว  เกม พนัน  ที่ว่า  มักจะเป็นเกมเดิมพันของ ชีวิต  มากกว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง  อย่างไรก็ตาม  ในบางครั้งผมก็เล่น พนันเป็นเงินบ้าง  และทุกครั้งก็เป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน  หนึ่งในการเล่นพนันที่ผมเคยทำก็คือการเป็น เจ้ามือป๊อกเด้ง  และต่อไปนี้คือประสบการณ์ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้น

ในการเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งนั้น   สิ่งที่ผมพบก็คือ  ผมอาจจะได้เปรียบลูกมือเล็กน้อยในแง่ที่ผมสามารถเลือกที่จะ จับ  หรือเปิดไพ่ของลูกมือก่อนโดยเฉพาะคนที่  จั่วไพ่ไปหลายใบและมีโอกาส  ตายซึ่งจะทำให้ผมชนะหรือ  กิน  คนนั้นก่อน  อย่างไรก็ตาม  นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า  ผมมักจะเล่นได้กำไรเป็นกอบเป็นกำในช่วงเวลาหนึ่งติดต่อกันจนเงินบนหน้าตักผมกองท่วม  อาจจะเป็นเพราะผมมีฝีมือ  หรือที่น่าจะเป็นมากกว่าก็คือ  ดวงกำลังขึ้น   แต่หลังจากนั้น  ดวงผมก็มักจะเริ่มตก  ผมเริ่มแพ้หรือเสียเงินมากขึ้นและมากขึ้นจนเงินกองโตนั้นลดลงไปเรื่อย ๆ  จนแทบหมดซึ่งถ้าเวลายังเหลือ  ผมก็จะต้อง ควักเค้า  หรือเอาเงินจากกระเป๋าออกมาเพิ่ม  และแล้ว  โชคก็มักจะกลับมา  ผมเริ่มได้กำไรและพอร์ต..  อุ๊บ..  กองเงินบนหน้าตักก็เติบโตขึ้นมาใหม่  ซึ่งก็จะลดลงไปอีกในเวลาต่อมา เป็นวงจรหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ   จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตีสองซึ่งได้เวลานอนและเป็นเวลาที่ต้องเลิกเล่น  นั่นก็จะเป็นเวลาตัดสินว่าผมจะได้หรือจะเสียเงินจากการเล่นพนันในครั้งนั้น

การเล่นหุ้นหรือการลงทุน  โดยเฉพาะคนที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง  มุ่งมั่น  และ กล้าได้กล้าเสีย  บางทีผมก็คิดว่าอาจจะมีอะไรคล้าย ๆ  กับการเล่นเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งอยู่เหมือนกันในแง่ของผลตอบแทนหรือเม็ดเงินที่ได้หรือเสีย  ลองมาดูตัวอย่างของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลาย ๆ  คน

คนแรกก็คือ  Jesse Livermore  นักเก็งกำไรบันลือโลก  ลิเวอร์มอร์นั้นเป็นนักเก็งกำไรโดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ  โดยการใช้มาร์จินหรือเงินกู้มาเก็งกำไรมหาศาล  วิธีการลงทุนนั้น  แน่นอน  คงเป็นการ ซื้อนำ  ไล่ราคา รวมถึงการปล่อยข่าวต่าง ๆ   ซึ่งในแนวนี้ก็คงคล้าย ๆ  กับการทำตัวเป็น  เจ้ามือป๊อกเด้ง  ซึ่งมีความได้เปรียบคนที่ ซื้อตาม  หรือลูกมืออยู่ไม่น้อย   ผลการเล่นหุ้นหรือเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์นั้นคล้ายคลึงกับเจ้ามือป๊อกเด้งมากนั่นก็คือ  เขารวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็น   เซเล็บ  ที่คนรู้จักกล่าวขวัญกันไปทั่ว  และต่อมาเขาก็เจ๊งจนล้มละลาย  แต่ด้วยการที่ยังมี เครดิต  หรือยัง เหลือเค้า  อยู่บ้าง  เขาจึงสามารถทำกำไรกลับมาได้อีก  แต่แล้วเขาก็เจ๊งอีก  นับได้ถึงสามครั้งที่เขาล้มละลายและกลับมาใหม่เหมือนเจ้ามือป๊อกเด้งเหมือนกัน  โชคไม่ดีที่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาเลิกเพราะฆ่าตัวตาย  พอร์ตของเขาเหลือศูนย์ดอลลาร์

คนที่สอง  ผมยกให้ Julian Robertson ตำนานผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์  อดีตผู้บริหารกองทุน Tiger Fund  กองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรก ๆ  ของโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง  ด้วยเท็คนิคการลงทุนที่มาในแนว “VI” อยู่เหมือนกันแม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่   ผลตอบแทนที่โดดเด่นทำให้พอร์ตของเขาเติบโตมหาศาลจากปีเริ่มต้นในปี 1980 ที่พอร์ตแค่ 8 ล้านเหรียญกลายเป็น 7.2 พันล้านในปี 1996 และกลายเป็นเฮดฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยกองทุนถึงกว่า 22 พันล้านเหรียญในปี 1998   แต่พอถึงปี 2000  โชคก็ไม่เข้าข้างเขา  กองทุน Tiger มีผลงานย่ำแย่มาก  ผลงานพ่ายแพ้ดัชนี S&P ย่อยยับและผู้ถือหน่วยลงทุนพากันถอนทุนทำให้เขาต้องประกาศปิดกองทุน  สาเหตุหนึ่งก็คือการที่กองทุนไม่ได้ถือหุ้นไฮเท็คที่กำลังร้อนแรงและราคาวิ่งกันมายาวนานเลย  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการที่ Tiger Fund ถือหุ้นบริษัท US Airway อยู่ในพอร์ตมหาศาล  ซึ่งราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและเขาปฎิเสธที่จะขายมัน  ในที่สุด US Airway ก็ล้มละลายทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหายยับเยิน  ยังดีที่ Robertson ยังเหลือเงินส่วนตัวอยู่บ้าง  ต่อมาเขาก็ใช้เงินนั้นช่วยเป็น  เงินเริ่มต้นเพื่อก่อตั้งเฮดฟันด์ใหม่ ๆ  อีกหลายสิบกอง  นอกจากนั้นลูกน้องหลายคนที่เคยทำงานใน Tiger Fund ก็ออกไปตั้งกองทุนเฮดฟันด์ใหม่ ๆ  อีกหลายกองที่เรียกกันว่า Tiger Cubs หรือกองทุน ลูกเสือส่วนตัวจูเลียนเองก็คงจะแก่เกินที่จะเล่นเองแล้วเขาจึงหันมาทำเรื่องการกุศลแทน

คนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  Bill Miller ผู้บริหารกองทุน Legg Mason Value Trust  บิล มิลเลอร์ เคยเป็นสุดยอดนักบริหารกองทุนรวมที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในระยะเวลาที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์  นั่นคือ  ในระยะเวลา 15 ปี จากปี 1991-2005  กองทุนของเขาทำผลตอบแทนชนะดัชนี S&P ได้ทุกปีติดต่อกัน  กองทุนเติบโตขึ้นจาก 750 ล้านเหรียญในปี 1990 เป็น 20 พันล้านเหรียญในปี 2006  เขาบอกว่าตนเองเป็น Value Investor ทั้ง ๆ  ที่พอร์ตลงทุนของเขาเล่นหุ้นไฮเท็คจำนวนมากที่มีราคาหรือค่า PE สูงลิ่ว  ในตอนนั้นเขาเป็น ซุปเปอร์สตาร์  แต่แล้ว โชคก็ไม่เข้าข้างเขา  ตั้งแต่ปี 2006 ผลตอบแทนของเขาก็ตกต่ำลงและต่ำกว่าดัชนี S&P  ในปี 2008 จากต้นปีถึงเดือนมิถุนายน พอร์ตเขาขาดทุนถึง 28%  ในขณะที่ดัชนีลบแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์  ถ้านับย้อนหลังไปสิบปี  สถิติของเขาต่ำกว่าดัชนี S&P  และแม้ว่าจะดูย้อนหลังไปตั้งแต่ตั้งกองทุน  ผลตอบแทนที่เคยยอดเยี่ยมนั้นก็กลายเป็นธรรมดา  คือดีกว่าดัชนี S&P เพียงนิดเดียว  เทียบกับเจ้ามือป๊อกเด้ง  นี่ก็คือช่วงที่เงินบนหน้าตักกองโตลดฮวบลงไปเกือบหมด  เราคงต้องดูกันต่อไปว่าเงิน บนหน้าตักจะโตขึ้นอีกไหมสำหรับ บิล มิลเลอร์

อาการแบบเจ้ามือป๊อกเด้ง  หรือจะเรียกให้เท่ว่า  ป๊อกเด้งซินโดรม  นี้  ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่น้อยถ้าเวลาของการเล่นหรือการลงทุนยาวพอ   มันเกิดขึ้นได้กับนักลงทุนธรรมดาเช่นเดียวกับ  เซียน  มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นนักเก็งกำไรเช่นเดียวกับคนที่เรียกตัวเองว่า  Value Investor  ดังนั้น  เราจะต้องไม่ประมาทและมีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป  สถานการณ์ตลาดหุ้นที่เป็นกระทิงที่ยาวนานอาจทำให้เราฮึกเหิมและโลภเกินไปจนลืมไปว่า หายนะ  นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าที่เราคิด  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้าเราไม่แน่ใจ  การ เก็บเงินเข้ากระเป๋าบ้างในยามที่เงินกำลังกองเต็มหน้าตัก  ก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก 

16  ธันวาคม  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น