เมื่อผมเข้ามาอยู่ในแวดวงของการลงทุนเต็มตัว บ่อยครั้งผมคิดถึงประสบการณ์เก่า ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกม “พนัน” ที่ผมเคยทำมา ส่วนใหญ่แล้ว
เกม “พนัน”
ที่ว่า
มักจะเป็นเกมเดิมพันของ “ชีวิต” มากกว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งผมก็เล่น “พนัน”
เป็นเงินบ้าง
และทุกครั้งก็เป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน หนึ่งในการเล่นพนันที่ผมเคยทำก็คือการเป็น “เจ้ามือป๊อกเด้ง” และต่อไปนี้คือประสบการณ์ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้น
ในการเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งนั้น สิ่งที่ผมพบก็คือ
ผมอาจจะได้เปรียบลูกมือเล็กน้อยในแง่ที่ผมสามารถเลือกที่จะ “จับ” หรือเปิดไพ่ของลูกมือก่อนโดยเฉพาะคนที่ “จั่ว” ไพ่ไปหลายใบและมีโอกาส “ตาย” ซึ่งจะทำให้ผมชนะหรือ “กิน” คนนั้นก่อน อย่างไรก็ตาม
นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ผมมักจะเล่นได้กำไรเป็นกอบเป็นกำในช่วงเวลาหนึ่งติดต่อกันจนเงินบนหน้าตักผมกองท่วม อาจจะเป็นเพราะผมมีฝีมือ หรือที่น่าจะเป็นมากกว่าก็คือ “ดวง” กำลังขึ้น แต่หลังจากนั้น “ดวง” ผมก็มักจะเริ่มตก
ผมเริ่มแพ้หรือเสียเงินมากขึ้นและมากขึ้นจนเงินกองโตนั้นลดลงไปเรื่อย
ๆ จนแทบหมดซึ่งถ้าเวลายังเหลือ ผมก็จะต้อง “ควักเค้า” หรือเอาเงินจากกระเป๋าออกมาเพิ่ม และแล้ว
โชคก็มักจะกลับมา
ผมเริ่มได้กำไรและพอร์ต.. อุ๊บ.. กองเงินบนหน้าตักก็เติบโตขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็จะลดลงไปอีกในเวลาต่อมา
เป็นวงจรหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตีสองซึ่งได้เวลานอนและเป็นเวลาที่ต้องเลิกเล่น
นั่นก็จะเป็นเวลาตัดสินว่าผมจะได้หรือจะเสียเงินจากการเล่นพนันในครั้งนั้น
การเล่นหุ้นหรือการลงทุน
โดยเฉพาะคนที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง
มุ่งมั่น และ “กล้าได้กล้าเสีย” บางทีผมก็คิดว่าอาจจะมีอะไรคล้าย ๆ
กับการเล่นเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งอยู่เหมือนกันในแง่ของผลตอบแทนหรือเม็ดเงินที่ได้หรือเสีย ลองมาดูตัวอย่างของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลาย
ๆ คน
คนแรกก็คือ Jesse
Livermore “นักเก็งกำไรบันลือโลก” ลิเวอร์มอร์นั้นเป็นนักเก็งกำไรโดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง
ๆ
โดยการใช้มาร์จินหรือเงินกู้มาเก็งกำไรมหาศาล วิธีการลงทุนนั้น แน่นอน
คงเป็นการ “ซื้อนำ” ไล่ราคา รวมถึงการปล่อยข่าวต่าง
ๆ ซึ่งในแนวนี้ก็คงคล้าย ๆ กับการทำตัวเป็น “เจ้ามือ” ป๊อกเด้ง
ซึ่งมีความได้เปรียบคนที่ “ซื้อตาม” หรือลูกมืออยู่ไม่น้อย ผลการเล่นหุ้นหรือเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์นั้นคล้ายคลึงกับเจ้ามือป๊อกเด้งมากนั่นก็คือ เขารวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็น “เซเล็บ” ที่คนรู้จักกล่าวขวัญกันไปทั่ว และต่อมาเขาก็เจ๊งจนล้มละลาย แต่ด้วยการที่ยังมี “เครดิต” หรือยัง “เหลือเค้า” อยู่บ้าง เขาจึงสามารถทำกำไรกลับมาได้อีก แต่แล้วเขาก็เจ๊งอีก
นับได้ถึงสามครั้งที่เขาล้มละลายและกลับมาใหม่เหมือนเจ้ามือป๊อกเด้งเหมือนกัน โชคไม่ดีที่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาเลิกเพราะฆ่าตัวตาย พอร์ตของเขาเหลือศูนย์ดอลลาร์
คนที่สอง ผมยกให้ Julian
Robertson ตำนานผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ อดีตผู้บริหารกองทุน Tiger Fund กองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรก ๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยเท็คนิคการลงทุนที่มาในแนว “VI” อยู่เหมือนกันแม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่ ผลตอบแทนที่โดดเด่นทำให้พอร์ตของเขาเติบโตมหาศาลจากปีเริ่มต้นในปี
1980 ที่พอร์ตแค่ 8 ล้านเหรียญกลายเป็น 7.2 พันล้านในปี 1996
และกลายเป็นเฮดฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยกองทุนถึงกว่า 22 พันล้านเหรียญในปี
1998 แต่พอถึงปี 2000 “โชค” ก็ไม่เข้าข้างเขา กองทุน Tiger มีผลงานย่ำแย่มาก ผลงานพ่ายแพ้ดัชนี S&P ย่อยยับและผู้ถือหน่วยลงทุนพากันถอนทุนทำให้เขาต้องประกาศปิดกองทุน
สาเหตุหนึ่งก็คือการที่กองทุนไม่ได้ถือหุ้นไฮเท็คที่กำลังร้อนแรงและราคาวิ่งกันมายาวนานเลย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการที่ Tiger
Fund ถือหุ้นบริษัท US Airway อยู่ในพอร์ตมหาศาล
ซึ่งราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและเขาปฎิเสธที่จะขายมัน ในที่สุด US Airway ก็ล้มละลายทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหายยับเยิน ยังดีที่ Robertson ยังเหลือเงินส่วนตัวอยู่บ้าง ต่อมาเขาก็ใช้เงินนั้นช่วยเป็น “เงินเริ่มต้น” เพื่อก่อตั้งเฮดฟันด์ใหม่ ๆ
อีกหลายสิบกอง
นอกจากนั้นลูกน้องหลายคนที่เคยทำงานใน Tiger Fund ก็ออกไปตั้งกองทุนเฮดฟันด์ใหม่
ๆ อีกหลายกองที่เรียกกันว่า Tiger
Cubs หรือกองทุน “ลูกเสือ” ส่วนตัวจูเลียนเองก็คงจะแก่เกินที่จะเล่นเองแล้วเขาจึงหันมาทำเรื่องการกุศลแทน
คนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ Bill Miller ผู้บริหารกองทุน Legg Mason Value Trust บิล มิลเลอร์
เคยเป็นสุดยอดนักบริหารกองทุนรวมที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในระยะเวลาที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ
ในระยะเวลา 15 ปี จากปี 1991-2005
กองทุนของเขาทำผลตอบแทนชนะดัชนี S&P ได้ทุกปีติดต่อกัน กองทุนเติบโตขึ้นจาก 750 ล้านเหรียญในปี 1990
เป็น 20 พันล้านเหรียญในปี 2006
เขาบอกว่าตนเองเป็น Value Investor ทั้ง ๆ
ที่พอร์ตลงทุนของเขาเล่นหุ้นไฮเท็คจำนวนมากที่มีราคาหรือค่า PE สูงลิ่ว ในตอนนั้นเขาเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” แต่แล้ว “โชค” ก็ไม่เข้าข้างเขา
ตั้งแต่ปี 2006
ผลตอบแทนของเขาก็ตกต่ำลงและต่ำกว่าดัชนี S&P ในปี 2008
จากต้นปีถึงเดือนมิถุนายน พอร์ตเขาขาดทุนถึง 28%
ในขณะที่ดัชนีลบแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์
ถ้านับย้อนหลังไปสิบปี
สถิติของเขาต่ำกว่าดัชนี S&P
และแม้ว่าจะดูย้อนหลังไปตั้งแต่ตั้งกองทุน ผลตอบแทนที่เคยยอดเยี่ยมนั้นก็กลายเป็นธรรมดา คือดีกว่าดัชนี S&P เพียงนิดเดียว เทียบกับเจ้ามือป๊อกเด้ง
นี่ก็คือช่วงที่เงินบนหน้าตักกองโตลดฮวบลงไปเกือบหมด เราคงต้องดูกันต่อไปว่าเงิน “บนหน้าตัก” จะโตขึ้นอีกไหมสำหรับ บิล มิลเลอร์
อาการแบบเจ้ามือป๊อกเด้ง
หรือจะเรียกให้เท่ว่า “ป๊อกเด้งซินโดรม” นี้
ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่น้อยถ้าเวลาของการเล่นหรือการลงทุนยาวพอ
มันเกิดขึ้นได้กับนักลงทุนธรรมดาเช่นเดียวกับ “เซียน” มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นนักเก็งกำไรเช่นเดียวกับคนที่เรียกตัวเองว่า Value Investor ดังนั้น
เราจะต้องไม่ประมาทและมีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป
สถานการณ์ตลาดหุ้นที่เป็นกระทิงที่ยาวนานอาจทำให้เราฮึกเหิมและโลภเกินไปจนลืมไปว่า
“หายนะ” นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าที่เราคิด
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ
ถ้าเราไม่แน่ใจ การ “เก็บเงินเข้ากระเป๋าบ้างในยามที่เงินกำลังกองเต็มหน้าตัก” ก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก
16 ธันวาคม 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น