วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ราคาของที่ดิน



ทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญของคนส่วนใหญ่อย่างหนึ่งนั้นก็คือ  ที่ดิน  ดังนั้น  เราก็ควรมาทำความเข้าใจกับเรื่องราคา  และ  การเพิ่มขึ้นของราคาของที่ดิน  ซึ่งก็คือ  ผลตอบแทนจากการถือครองที่ดินนั่นเอง

ข้อเท็จจริงเรื่องแรกที่คนมักจะเชื่อกันก็คือ  ราคาที่ดินนั้น  แทบจะไม่เคยลดลง  พูดง่าย ๆ  ซื้อที่ดินแล้วมักจะไม่ขาดทุน  ยิ่งอยู่นาน  ราคาก็ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  ถ้าลองถามคนที่มีบ้านโดยเฉพาะที่ซื้อมานานแล้ว  พวกเขาก็อาจจะพูดทำนองว่า  เมื่อยี่สิบปีที่แล้วซื้อที่ปลูกบ้านหลังนี้มาราคาแค่ตารางวาละ 10,000 บาท เดี๋ยวนี้วาละ 30,000 บาทแล้ว  และราคาไม่เคยลดลงเลย  เป็นต้น

คำกล่าวที่ว่านี้ผมคิดว่าเป็นความจริงค่อนข้างมากแม้ว่าจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์   แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้การลงทุนซื้อที่ดินแปลงนี้หรือที่ดินสำหรับสร้างบ้านส่วนใหญ่กลายเป็นการลงทุนที่วิเศษ  เหตุผลก็คือ  ถ้าคำนวณผลตอบแทนของการถือครองที่ดินก็พบว่า  การเพิ่มขึ้นจาก 10,000 เป็น 30,000 บาทในเวลา 20 ปี นั้น  ให้ผลตอบแทนทบต้นเพียงปีละ 5.65%  เท่านั้น   ส่วนเรื่องที่บอกว่าราคาไม่เคยลดลงเลยนั้น  ผมเชื่อว่าค่อนข้างจริงแต่ก็อาจจะไม่ทุกปี  อย่างน้อยปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 ราคาก็น่าจะลดลงบ้าง   อย่างไรก็ตาม  เราก็อาจจะไม่รู้ว่ามันลดลง   เหตุผลก็เพราะการซื้อขายที่ดินโดยเฉพาะที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นมีสภาพคล่องน้อยมาก  นั่นคือ  ในช่วงที่เกิดวิกฤติ  หรือในช่วงไหนก็ตาม  มีการซื้อขายเปลี่ยนมือน้อย   และแม้จะมีการซื้อขายบ้าง  ข้อมูลก็ไม่ได้เผยแพร่ออกไปให้เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง    ว่าที่จริงก็ไม่ค่อยมีใครแคร์ว่าราคามันจะเป็นเท่าไรถ้าเขาไม่ได้คิดจะขายบ้านที่ตนเองอาศัยอยู่  คนที่รู้ว่าราคาที่ดินลดลงก็คือคนที่ซื้อที่ดินที่พบว่าราคามันถูกลงไปพอสมควรในปีนั้น

เหตุผลสำคัญที่ที่ดินราคา  มีแต่จะขึ้น  นั้น  เป็นเพราะ พื้นฐานของราคาที่ดินในภาพกว้างมักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า    โดยมีแนวโน้มค่อย ๆ  ปรับตัวขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อและการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในชุมชนที่ที่ดินตั้งอยู่   ซึ่งทั้งเงินเฟ้อและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น  ตลอด 20 ปีและมากกว่านั้นก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดเกือบทุกปี  ดังนั้น  ราคาที่ดินจึงมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเกือบทุกปีเหมือนกัน  นี่ก็พูดกันถึงเรื่องของพื้นฐานและราคา   อย่างไรก็ตาม  ในบางครั้งบางคราวก็มีเรื่องของการเก็งกำไรที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดอย่างเช่นในช่วงที่ประเทศไทยถูกมองว่าจะกลายเป็น  เสือแห่งเอเซีย  ในช่วงประมาณปี 2537-8 ที่ราคาที่ดินปรับตัวขึ้นแรงมากกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ  แต่หลังจากนั้น  ราคาก็ชะลอตัวลงและลดลงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ  และทำให้ราคาที่ดินกลับมาใกล้เคียงกับพื้นฐานอีกครั้งหนึ่ง

ในภาพที่เล็กลงมาคือมองที่ดินเป็นย่านหรือเป็นแต่ละทำเลหรือแต่ละแปลง  ราคาที่ดินก็จะมีความผันผวนมากขึ้นแต่ก็เช่นเดียวกันยังมีแนวโน้มในทางขาขึ้นเนื่องจากภาพใหญ่คือเรื่องของเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจก็ยังเป็นขาขึ้นอยู่   โดยปัจจัยที่ทำให้พื้นฐานของที่ดินดีขึ้นอย่างชัดเจนและทำให้ราคาที่ดินปรับตัวขึ้นมากและรวดเร็วก็คือ  การที่มีถนนตัดผ่านที่ดินและการที่มีรถไฟฟ้าหรือระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัยผ่านมาใกล้กับที่ดินในเขตที่เป็นเมืองและตามทางหลวง  ส่วนในเขตนอกเมืองหรือในชนบทนั้น  การที่มีธุรกิจและอุตสาหกรรมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ซึ่งจะช่วยดึงดูดพนักงานและผู้คนรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ  เข้ามาด้วยก็ทำให้มีความต้องการที่ดินในบริเวณนั้นมากขึ้น  นี่ก็จะทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  ในกรณีแบบนี้  การปรับขึ้นเร็วของที่ดินก็น่าจะเป็นแบบ  ครั้งเดียว   เพื่อตอบรับกับ พื้นฐานใหม่  หลังจากนั้นการปรับขึ้นก็มักจะกลับสู่ภาวะปกติ  คือปรับตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ตามภาพใหญ่

พื้นฐานของที่ดินนั้น  ส่วนใหญ่อิงอยู่กับอาณาบริเวณหรือทำเลของที่ตั้งที่ดินจนมีคำพูดที่เป็นเหมือนไบเบิลของอสังหาริมทรัพย์ว่า  เรื่องของที่ดินนั้นต้องพิจารณาถึง  ทำเล ทำเล และทำเล  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่า  ผลจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้  น่าจะทำให้คนมองปัจจัยเรื่องน้ำท่วมเพิ่มขึ้นมาด้วย  เพราะคนจำนวนไม่น้อยอาจจะคิดว่าน้ำท่วมนั้น  จะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว  โอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกมีอยู่พอสมควร  ดังนั้น  พื้นฐานของที่ดินในหลายส่วนของประเทศอาจจะเปลี่ยนไป  เช่นเดียวกัน  ในทำเลใกล้เคียงกันที่เคยมีพื้นฐานเหมือน ๆ  กัน  แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้  พื้นฐานก็อาจจะต่างกันไป  และนี่จะสะท้อนออกมาหลังน้ำลด  นั่นก็คือ  พื้นที่บางแห่งที่น้ำท่วมสูงและน้ำค้างอยู่นาน  ราคาที่ดินจะลดลง  ในขณะที่แห่งอื่นที่น้ำท่วมน้อยหรือไม่ท่วมเลย  ราคาจะไม่ลดหรืออาจจะเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย

การตกลงของราคาที่ดินอันเป็นผลจากน้ำท่วมเองนั้น  ก็ไม่เท่ากันสำหรับที่ดินแต่ละประเภท  ถ้าน้ำท่วมทำให้เสียหายหนักมากในแง่ของรายได้และทรัพย์สินอย่างเช่นที่ดินที่ใช้ทำอุตสาหกรรม  แบบนี้ต้องถือว่าพื้นฐานด้อยลงมาก  ดังนั้น  ราคาก็อาจจะตกลงไปมาก  จริงอยู่  กิจการที่ตั้งอยู่แล้วอาจจะไม่ขายที่ดินย้ายโรงงานเนื่องจากต้นทุนในการย้ายที่สูงมาก    แต่รายใหม่ที่จะซื้อที่ดินคงต้องคิดหนักและอาจจะต้องการที่ดินในราคาที่ลดลงมาก    สำหรับการอยู่อาศัยนั้น  น้ำท่วมบ้านมักมีผลไม่เท่ากับอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ  และการย้ายสถานที่นั้นก็มีต้นทุนที่สูงมากเช่นเดียวกัน  ดังนั้น  คนก็คงไม่ย้ายบ้านเพื่อหนีน้ำท่วม   อย่างไรก็ตาม  คนที่คิดจะซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ก็น่าจะพยายามหลีกเลี่ยงที่ดินหรือโครงการจัดสรรที่อยู่ในบริเวณน้ำท่วมสูงและนาน  ผลก็คือ  ราคาที่ดินที่โดนน้ำท่วมหนักน่าจะมีราคาลดลง  เพียงแต่การลดลงอาจจะน้อยกว่าที่ดินทำอุตสาหกรรม

การลดลงของราคาที่ดินที่ถูกน้ำท่วมหนักนั้น  โดยทางทฤษฎี  น่าจะเป็นการลงครั้งเดียว  หลังจากนั้น  ราคาก็น่าจะค่อย ๆ  ปรับตัวขึ้นตามภาพใหญ่  ในความเป็นจริง  เราอาจจะไม่เห็นเลยว่าราคาที่ดินในพื้นที่น้ำท่วมใหญ่มีการปรับลดลงเป็นเรื่องเป็นราว  เหตุผลก็เพราะว่าที่ดินนั้นมีสภาพคล่องค่อนข้างจะต่ำมาก  ในช่วงที่ที่ดินควรจะปรับตัวลดลงนั้น  มักจะมีการซื้อขายน้อยมากโดยเฉพาะที่เป็นที่ดินอยู่อาศัย  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะคนขายไม่ยอมขายลดราคา  และคนซื้อก็ไม่ยอมซื้อในราคาเดิม  การซื้อขายจึงไม่เกิดขึ้น  สมมุติราคาที่ควรจะเป็นคือลดลง 25%  จาก ราคา 100 เหลือ 75 แต่ไม่มีการซื้อขายดังนั้นเราไม่เห็นว่าราคาลดลง  เวลาผ่านไป 5 ปี  และด้วยอัตราการเพิ่มปกติตามภาพใหญ่ที่ราคาที่ดินโตประมาณปีละ 6%  ราคาที่ดินจาก 75 ก็กลับขึ้นไปเป็นประมาณ  100 เท่าเดิม  และคนก็อาจจะบอกว่า  เห็นไหม  ถึงจะมีน้ำท่วมใหญ่  ราคาที่ดินก็ไม่ลง

บางคนอาจจะอ้างว่าน้ำท่วมไม่เป็นปัญหาไม่ทำให้ราคาที่ดินลดลงโดยยกตัวอย่างว่าหาดใหญ่น้ำท่วมเป็นประจำแต่ราคาที่ดินขึ้นเอา ๆ  ทุกปี  แต่ความเป็นจริงควรจะพูดว่า  เพราะหาดใหญ่น้ำท่วมเป็นประจำ  ราคาที่ดินจึงไม่ลดลง  เหตุผลก็คือ  พื้นฐานของที่ดินนั้นได้  รวมน้ำท่วมเป็นประจำไปแล้วราคาที่ดินหาดใหญ่ที่ขึ้นนั้นน่าจะขึ้นตามภาพใหญ่ของหาดใหญ่ที่เศรษฐกิจโตขึ้นทุกปี   ในทำนองเดียวกัน  สึนามิที่เกิดขึ้นในภาคใต้ในจังหวัดเช่นพังงาและภูเก็ตหลายปีก่อนนั้น  เราก็เห็นว่าราคาไม่ได้ลดลงและปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นทุกปี  นี่ก็น่าจะเป็นเพราะสึนามินั้นทุกคนรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นอีกน้อยมาก  ดังนั้น  พื้นฐานของที่ดินจึงเปลี่ยนน้อยมากจากสึนามิ  ราคาจึงไม่ลงและเพิ่มขึ้นทุกปีตามความเจริญของการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นทุกปี  

14  พฤศจิกายน  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น