วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักธุรกิจร้อยล้าน 123


ความฝันของคนจำนวนมากมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  การได้เป็น   เจ้าของธุรกิจ   เพราะนั่นคือหนทางที่สำคัญ  และอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาร่ำรวย  มีชื่อเสียง  และได้รับการนับหน้าถือตา  คนหนุ่มสาวอายุยังไม่ครบสามสิบปีถ้าสามารถมีธุรกิจขนาด  ร้อยล้านบาท  ก็กลายเป็นเรื่องฮือฮาสามารถนำไปเขียนเป็นเรื่องราวของความสำเร็จที่น่าทึ่งและน่ายกย่องได้   นักธุรกิจ  พันล้าน  เวลามีเรื่องราว  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายหรือเรื่องซุบซิบในสังคมก็จะเป็นข่าวใหญ่มีคนติดตามกันมาก   สถานะของการเป็นเจ้าของธุรกิจ   ร้อยล้านหรือ พันล้านบาทในสังคมไทยนั้น   ดูสูงส่งจน  คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง   คนกินเงินเดือนที่ไม่ใช่ผู้บริหารชั้นสูงและไม่ใช่คนที่มีทรัพย์มรดกมากมายนั้น  มักจะไม่กล้าแม้แต่จะฝันที่จะเป็นนักธุรกิจ  ร้อยล้าน   แต่สำหรับผมแล้ว   นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด  เรา  ผมหมายถึงคนที่สนใจในการลงทุนแบบ  Value Investment  ต้องเปลี่ยนความรู้สึกแบบนี้  เราต้องกล้าฝันที่จะเป็นนักธุรกิจ ร้อยล้าน  หรือแม้แต่  พันล้าน

คำว่านักธุรกิจ  ร้อยล้านหรือ พันล้านบาทที่นักข่าวหรือนักเขียนบทความพูดถึงในหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารนั้น    ถ้าจับความให้ดีก็จะพบว่ามันคือ   ยอดขายสินค้าของธุรกิจ  และถ้ามองลึกลงไปอีกก็จะพบว่าบ่อยครั้งมีการ  ปัดเศษ  นั่นคือ  ถ้ายอดขายประมาณปีละ 60-70 ล้านบาท  ก็ตีว่าเป็นร้อยล้านบาท   ถ้ายอดขายตั้งแต่ 500-600 ล้านบาท ก็เรียกว่าเป็นนักธุรกิจพันล้านได้แล้ว  มัน ไม่เคยมีความหมายเลยว่านักธุรกิจคนนั้นมีเงินของตนเองหรือมีทรัพย์สินที่ เป็นส่วนของเจ้าของบริษัทที่ถือว่าเป็นความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นร้อยหรือพัน ล้านบาทจริง ๆ     ยอดขายของบริษัทหรือธุรกิจปีละร้อยหรือพันล้านบาทนั้น   บอกอะไรเกี่ยวกับความมั่งคั่งน้อยมาก   เช่นเดียวกัน  มันไม่ได้บอกถึงความสามารถของเจ้าของกิจการอะไรนัก    มันอาจจะเป็นแต่เพียงความ  เท่ที่ กินไม่ได้   ว่าที่จริงในหลาย    กรณี  มันเป็นความกลัดกลุ้มโดยเฉพาะถ้าธุรกิจนั้นกำลังประสบปัญหาและมีหนี้สินล้นพ้นตัวที่เจ้าของจะต้องรับผิดชอบด้วย

วิธีที่จะเป็นเศรษฐีหรือนักธุรกิจ  ร้อยล้าน  ของผมก็คือ  แทนที่เราจะเริ่มต้น  สร้างธุรกิจเองซึ่งต้องอาศัยสิ่งต่าง ๆ  มากมาย  ตั้งแต่ความรู้ความสามารถ  ทักษะในการบริหารงาน  และเงินทุนก้อนใหญ่  เราสามารถ  ซื้อ  ธุรกิจได้   และที่ ๆ  เราจะไปซื้อกิจการก็คือ  ตลาดหุ้น    แน่นอน   เราไม่ได้ซื้อทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์   ที่จริงเราอาจจะซื้อแค่ไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พันหุ้นซึ่งไม่ถึง  .0001%  ด้วยซ้ำ   แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ   เพราะธุรกิจที่เรา  ทำ  นั้นใหญ่มาก   ยอดขายปีละเป็นแสนหรือหลายแสนล้านบาท  เราจะเป็นเจ้าของคนเดียวได้อย่างไร   แต่ไม่ว่าเราจะซื้อเท่าไร   เราก็ถือว่าเราเป็นเจ้าของอยู่ดี   ส่วนของยอดขายของบริษัทนั้น   บางส่วนก็ต้องเป็นของเรา  กำไรของบริษัทบางส่วนก็ต้องเป็นของเรา   ว่าที่จริง  ทุกอย่างของบริษัทนั้น  เรามีส่วนเป็นเจ้าของเท่ากับสัดส่วนการถือหุ้นของเรา 

ดังนั้น  ถ้าบริษัท ก. มีหุ้นทั้งหมดเท่ากับ  100  ล้านหุ้น  และเราถือหุ้นบริษัทนี้จำนวน  1 ล้านหุ้นหรือ 1% ของบริษัท ในราคาที่เราซื้อหุ้นละ 1 บาทซึ่งเท่ากับว่าเราลงทุนไป  1  ล้านบาท   แต่บริษัทมียอดขายปีละ  500  ล้านบาท  สัดส่วนของเรา  1%  ก็เท่ากับว่าธุรกิจนี้ที่เรา  ทำ  มียอดขายในส่วนของเราเท่ากับ 5 ล้านบาท   และนั่นเป็นหุ้นเพียงตัวเดียว   แต่ถ้าเราสะสมหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทุกครั้งที่เรามีเงินเพิ่มไม่ว่าจะมาจากเงินเดือน  โบนัส   เงินปันผล  หรือแม้แต่เงินที่ได้จากการขายหุ้นตัวหนึ่งแล้วมาลงทุนซื้อหุ้นอีกตัวหนึ่ง เราก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เป็นพอร์ตโฟลิโอ    ในวันแรก ๆ  ที่เราเริ่มลงทุนนั้น   เราอาจจะเป็น  นักธุรกิจขนาดย่อม  เป็นนักธุรกิจเงินแสน   แต่ถ้าเรามีความมุมานะ   มีความตั้งใจที่จะ สร้างธุรกิจให้เติบใหญ่ขึ้น  เป้าหมายของเราอาจจะตั้งไว้ปีละ  10-15%  ซึ่งดูไม่มากและไม่เกินกำลัง   แต่ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องสนใจกับภาวะตลาดหุ้น   วันหนึ่งเราก็อาจจะพบว่า   ยอดขาย  ของธุรกิจหลาย ๆ  อย่างของเรารวมกันมีมูลค่าถึง 60-70 ล้านบาท   และนั่นเราก็สามารถพูดได้ว่าเราเป็น   นักธุรกิจร้อยล้าน  บาทแล้ว   แน่นอน  มูลค่าของพอร์ตหุ้นของเราอาจจะมีค่าเพียงแค่  15-20 ล้านบาท   แต่นั่นก็ไม่ได้แตกต่างจาก   นักธุรกิจร้อยล้าน  ที่ทำธุรกิจเดียว   ถือหุ้นอยู่ตัวเดียว  และเป็นผู้บริหารเอง

การเป็น  นักธุรกิจร้อยล้าน  ในตลาดหุ้นนั้น   ก็เช่นเดียวกับ  นักธุรกิจร้อยล้าน  นอกตลาดหุ้น   นั่นคือ  มูลค่าของความมั่งคั่งส่วนตัวจริง ๆ  อาจจะเป็น  100 ล้านบาทหรืออาจจะเป็นแค่  10-20 ล้านบาทก็ได้   มันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำธุรกิจอะไร   ธุรกิจนั้นมีกำไรดีมากน้อยแค่ไหน   ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  ธุรกิจที่ทำนั้นมีศักยภาพในการที่จะเติบโตและทำกำไรมากน้อยแค่ไหนในอนาคต   เพราะนั่นจะเป็นตัวที่ชี้ว่า  ในอนาคต   คุณจะมีโอกาสเลื่อนอันดับจากเศรษฐีหรือนักธุรกิจจากสิบ  เป็นร้อย  จากร้อยเป็นพันล้านบาทได้หรือไม่  
 เขียนถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง  Value Investor  หนุ่มสาวหลายคนที่ผมรู้จัก  คนเหล่านี้เริ่มต้นด้วยการทำ  ธุรกิจขนาดย่อม  ในตลาดหุ้น  เดี๋ยวนี้หลายคนกลายเป็น  นักธุรกิจร้อยล้านไปแล้วทั้งที่อายุยังไม่ครบสามสิบปี   แน่นอน   นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นนักธุรกิจขนาดย่อมอยู่  บางคนก็โตขึ้นเรื่อย ๆ  กลายเป็นนักธุรกิจขนาดกลาง   หลายคนก็ประสบปัญหา  ล้มหายตายจาก  ก็มี   ความสามารถและโชคคงมีส่วนไม่น้อยต่อความสำเร็จและล้มเหลวเช่นเดียวกับนักธุรกิจนอกตลาดหุ้น    ไม่มีใครรู้ว่า  ระหว่างนักธุรกิจนอกตลาดกับนักธุรกิจในตลาดหุ้น  ใครประสบความสำเร็จมากกว่ากัน 

ในความคิดผมก็คือ  ถ้าคุณเป็น  นักปฏิบัติ  โอกาสสำเร็จในการเป็นนักธุรกิจนอกตลาดจะสูงกว่า   แต่ถ้าคุณเป็น   นักคิด   การเป็นนักธุรกิจในตลาดน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า    ไม่ว่าจะกรณีใด  การเป็นนักธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น   ดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายและความเสี่ยงน่าจะต่ำกว่าธุรกิจนอกตลาดหุ้น   เหตุผลก็คือ  ในการทำธุรกิจนอกตลาดหุ้นนั้น  เรามักต้องทุ่มทุกอย่างแม้แต่จิตวิญญาณลงไปในธุรกิจ  และการถอยหนีมักจะหมายถึงหายนะ  ในขณะที่การทำธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น  เรามีทางเลือกมากมายและมีการกระจายธุรกิจไปในหลาย ๆ  อย่าง   ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า  เราซื้อหุ้นในตลาดเพื่อเป็นการลงทุน  ทำธุรกิจ  ไม่ใช่การ  เล่นหุ้น    


22  มิถุนายน  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น