วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

อยู่กับหุ้น 100 %



ตั้งแต่ปี 2539 ผมได้ลงทุนเงินทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในหุ้น   ในช่วงแรก ๆ  นั้น  แน่นอน  ผมต้องเก็บเงินสดไว้จำนวนหนึ่งเป็นสภาพคล่องสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  เงินจำนวนนั้นถ้าคิดคำนวณก็อาจจะประมาณเท่ากับ 10%  ของเงินทั้งหมดที่มีอยู่  เงินอีก 90%  ผมลงในหุ้นทั้งหมด  เหตุผลที่ผมลงทุนในหุ้นนั้น  เป็นเพราะผมเห็นว่าหุ้นที่ผมลงทุนนั้นเป็นบริษัทที่มั่นคง  มีกำไรที่สม่ำเสมอ  มีปันผลที่ค่อนข้างแน่นอนประมาณไม่ต่ำกว่า 4-5% ต่อปี  ผมลงเพราะผมเห็นว่าหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ผมจะทำได้  ผมไม่คิดว่าผมรับความเสี่ยงมากเกินไป  เพราะผมถือหุ้นต่าง ๆ  เกือบสิบบริษัท  ถ้าบริษัทหนึ่งมีปัญหา  บริษัทอื่นก็ยังดีอยู่และทำผลตอบแทนชดเชยได้ 

ผ่านมาประมาณ 14 ปี  ผมก็ยังคงถือเงินสดเป็นสภาพคล่องประมาณเท่าเดิม  แต่เนื่องจากเงินลงทุนในหุ้นของผมเติบโตขึ้นมาก  เงินสภาพคล่องที่เคยเป็น 10%  ของพอร์ต  ตอนนี้จึงเป็นเพียง 1%  ของเงินทั้งหมด  การถือหุ้น  ร้อยเปอร์เซ็นต์  ของผม ตลอดเวลาเป็นเวลา 14 ปีนั้น  ได้ผ่านเหตุการณ์  เลวร้าย  ต่าง ๆ  รวมถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ 2 ครั้ง  การปฏิวัติรัฐประหาร  การถล่มทลายของตึกเวิร์ลเทรดจากการก่อการร้าย  การประกาศควบคุมเงินทุนไหลเข้าของธนาคารแห่งประเทศไทย และเหตุการณ์ร้ายแรงอื่น ๆ  ซึ่งนั่นก็เป็นการพิสูจน์ว่า   การลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment นั้น  ไม่ได้อิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นและก็จะจบลงไปในระยะเวลาไม่นาน

การถือหุ้น 100%  นั้น  นักวิชาการต่างก็พูดว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากโดยเฉพาะสำหรับคนที่มีอายุมากที่จะไม่สามารถรับได้หากเกิดการขาดทุนและตนเองไม่สามารถทำงานหาเงินมาชดเชยได้  การถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น  อาจจะเหมาะก็เฉพาะคนที่ยังเป็นหนุ่มสาวที่รับความเสี่ยงได้มากเท่านั้น   แต่สำหรับผมแล้ว  ผมมีเหตุผลที่จะถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์แม้ว่าอายุกำลังใกล้เกษียณ  เหตุผลของการถือหุ้น 100%  นั้นมีมากมาย

ข้อแรก  หุ้นนั้น  ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดีและน่าจะดีที่สุดในบรรดาการลงทุนในตราสารการเงิน  จากสถิติทั้งในและต่างประเทศพบว่าหุ้นให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 8-10% ซึ่งสูงกว่าเงินฝากหรือพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 3-5% เท่านั้น  และคำว่าระยะยาวนั้น  น่าจะมีความหมายว่าประมาณ  10-20 ปี  ดังนั้น  สำหรับผมซึ่งอายุยังไม่ถึง 60 ปี  และคิดว่าตนเองน่าจะอยู่ได้ถึง 80 ปีซึ่งจะทำให้ผมมีเวลาลงทุนอีก 20 ปี  ผมจึงเห็นว่าการลงทุนในหุ้นทั้งหมดน่าจะให้ผลตอบแทนสูงสุด

ข้อสอง  ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไป  จนผมมีอายุ 70 ปี  ถ้าผมยังมีความสามารถในการวิเคราะห์พิจารณาอยู่  ผมเองก็จะยังคงลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี  เหตุผลก็คือ  เงินของผมที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น  มันมีอยู่มากเกินพอที่ผมไม่สามารถใช้ได้หมดอยู่แล้ว  เงินส่วนใหญ่นั้นคงจะส่งผ่านต่อไปที่ลูก  ดังนั้นสิ่งที่ต้องดูจริง ๆ  ก็คืออายุของลูกไม่ใช่อายุของผม  และถ้าเป็นอย่างนั้น  เราก็ควรลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์  ประเด็นในเรื่องนี้ก็คือ  ผมไม่มีความเสี่ยงที่จะมีเงินไม่พอใช้จ่ายในยามที่มีอายุมากขึ้น  จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บเป็นเงินฝากหรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อยนิดแต่อย่างใด 

ข้อสาม  ถ้าไม่มองในด้านของอายุหรือระยะเวลาในการลงทุน  แต่ดูที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบันก็จะพบว่ามันต่ำมากจนไม่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อ   ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ต่ำกว่า 1% ต่อปีนั้น  ยิ่งเราเก็บไว้นานเราก็ยิ่ง  ขาดทุน  ตรงกันข้าม  ถ้าเราลงทุนในหุ้นด้วยการเลือกหาหุ้นที่ดีในราคาที่ต่ำหรือราคายุติธรรม   เราก็อาจจะสามารถทำเงินเพิ่มเป็นเท่าตัวได้ในระยะเวลาอาจจะไม่เกิน 5-6 ปี   หรือถ้าพลาด   ราคาหุ้นไม่เพิ่มเลยในช่วงเวลาหลายปีแต่ปันผลที่ได้ในแต่ละปีที่ประมาณ 3-4%  ก็ยังคุ้มค่ากว่าการฝากเงินอยู่ดี  ดังนั้น  การถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น  เป็นเรื่องที่มีข้อดีและควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะคนที่เป็น Value Investor ผู้มุ่งมั่น

เหตุผลข้อสุดท้ายของการถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น  เป็นเรื่องที่ว่า  มันมีโอกาสที่จะทำให้เรา รวย  ได้  โดยที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เหนื่อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีเวลาลงทุนที่ยาวนานเช่นคนหนุ่มสาวทั้งหลาย  ว่าที่จริง  คนที่อายุยังไม่ครบ 30 ปี และมีเงินเดือนหรือรายได้ในระดับคนชั้นกลางที่ไม่มีภาระมากเกินไป  และมีความมุ่งมั่นในการลงทุนเต็มเปี่ยมนั้น   น่าจะสามารถรวยในระดับร้อยล้านบาทก่อนที่จะตายได้ไม่ยาก  หลักการใหญ่ก็คือ  เขาจะต้องลงทุนถือหุ้นชั้นนำไม่น้อยกว่า 5-6 ตัวและไม่ควรเกิน 10 ตัว ด้วยเงินร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา

ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น  หลายคนอาจจะไม่แน่ใจ  เพราะดูเหมือนมันจะ  ง่ายเกินไป   ความเสี่ยงดูเหมือนจะ  น้อยเกินไป  ถ้ามันดีอย่างนั้นทำไมคนจึงไม่ทำกันหมด  เรื่องนี้ผมคงไม่สามารถตอบได้ในเวลาอันน้อยนิด  ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า  พอร์ตหุ้นของ วอเร็น บัฟเฟตต์  นั้นก็เปิดเผย  เขาถือหุ้นเหล่านั้นในระยะยาวมาก  พอร์ตหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงน้อย  แล้วเขาก็รวย  คำถามก็คือ  ทำไมคนจึงไม่ถือหุ้นเหล่านั้นตามบัฟเฟตต์? 

เรื่องของการรวยจากการถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์  หรือมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น  ว่าที่จริงผมได้พบ  Value Investor ผู้มุ่งมั่นหลายคนทีเดียวที่ทำได้สำเร็จร่ำรวยเป็นเศรษฐีด้วยเวลาที่สั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ  คนเหล่านั้นค้นพบ  ขุมทอง  ในตลาดหุ้นและขุดมันอย่างรวดเร็ว  ในขณะที่หลายคนยังไม่เชื่อว่ามีขุมทองจริง   ประเด็นก็คือ  เขายังไม่ได้ลองเข้ามาสำรวจ  ยังไม่ได้ลงมือจับจอบเสียมและ  ขุดพื้นดินจริง ๆ   ความหมายของผมก็คือ  ถ้าคุณหวังจะรวยจากตลาดหุ้น  สิ่งที่จะต้องทำก็คือ  ลงทุนซื้อหุ้นในวิธีที่ถูกต้อง  ไม่มีทางอื่น  เริ่มเดี๋ยวนี้

5  เมษายน  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น