วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่



หุ้นกลุ่มหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่แทบไม่เคยสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุนระยะยาวเลยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็คือ  หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ที่เรียกว่า  Modern Trade   เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้แทบทุกตัวให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจทั้งในด้านของเงินปันผลและราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  ต่อเนื่องมาตลอด  ที่สำคัญ  แม้ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ  หุ้นส่วนใหญ่มีราคาตกลงมามากมาย  หุ้นกลุ่มค้าปลีกก็ไม่ได้ตกลงมามากนัก  และเมื่อภาวะวิกฤติผ่านไป  ราคาก็กลับมาที่เดิมและปรับตัวสูงขึ้นไปอีก  ถ้าจะพูดไป  หุ้นค้าปลีกในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เป็นทั้งหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้าย  และเป็นหุ้น Growth หรือหุ้นที่เติบโต  อยู่ในตัวเดียวกัน  นอกจากนั้น  หุ้นหลายตัวในกลุ่มเองก็ให้ปันผลในอัตราที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  กลายเป็น  Dividend Stock  หรือ  หุ้นปันผล”  ที่จ่ายปันผลงดงามทุกไตรมาศ  และนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่ม  Modern Trade ส่วนใหญ่มีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัท  หรือมี  PE  สูงมากโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ

ก่อนที่ผมจะพูดว่าทำไมหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่จึงได้ราคาที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ  ผมอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่าหุ้นที่อยู่ในข่าย Modern Trade คือหุ้นในกลุ่มไหน   เนื่องจากหลายคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์  แต่จริง ๆ  แล้วไม่ใช่เสียทีเดียว   เพราะหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ในนิยามของผมนั้น  จะต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ  การขายจะขายผ่านเครือข่ายร้านสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ  ราคาสินค้าที่ขายก็มักจะเท่ากันไม่ว่าจะขายในร้านหรูในกรุงเทพหรือร้านค้าที่อยู่ต่างจังหวัด  ตัวสินค้าเองก็มีความหลากหลายและใกล้เคียงกันในแต่ละสาขา  ระบบการทำงานของสาขาทั้งหมดมักจะต่อถึงกันผ่านสำนักงานใหญ่  ดังนั้น  ข้อมูลการขายสินค้าจะเป็นระบบรวมศูนย์ที่ทำให้การบริหารงานขายมักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเทียบกับร้านค้าแบบ  ดั้งเดิม”  ที่มักจะมีร้านเพียงร้านเดียวหรือมีสาขาน้อยมาก

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพาณิชย์เริ่มตั้งแต่หุ้น  BIGC ซึ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกที่เรียกว่า  Discount Store  แบบที่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่มากที่ขายสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ประจำวันและสินค้าราคาถูกอื่น ๆ  อีกมาก  หุ้น CPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ  7-11 ที่ขายสินค้าปริมาณเล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่เน้นความสะดวกเนื่องจากอยู่ใกล้ชุมชน  หุ้น  HMPRO ซึ่งขายสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้าน  หุ้น GLOBAL ซึ่งขายวัสดุก่อสร้าง  หุ้น IT ซึ่งขายสินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฮเท็คต่าง ๆ  หุ้น  MAKRO ซึ่งขายสินค้าให้กับร้านค้าโชห่วยและกิจการอื่น ๆ  เช่นร้านอาหารหรือโรงแรม  หุ้น  ROBINS ซึ่งทำห้างสรรพสินค้าโรบินสัน    นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพาณิชย์เช่น  หุ้น SE-ED ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือ  หุ้น JMART  ที่ขายโทรศัพท์มือถือ  นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่อาจจะเรียกว่าเป็น Modern Trade ได้เหมือนกันแต่ขายเฉพาะสินค้าจากโรงงานหรือบริษัทของตนเองเป็นหลัก  อย่างหุ้น DCC ซึ่งขายกระเบื้องก่อสร้าง  หุ้น JUBILY ขายเครื่องประดับเพชร  และหุ้น  BGT ซึ่งขายเสื้อผ้า เป็นต้น

จุดเด่นของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  มีหลายประการ  เริ่มตั้งแต่ข้อแรกคือ  มักเป็นกิจการที่มีความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานทั้งยอดขายและกำไร  เหตุผลก็คือ  บริษัทมีการขายสินค้าให้กับคนจำนวนมาก  มักจะเป็นแสนหรือล้าน ๆ ราย  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของยอดขายในแต่ละปีจะไม่มาก  สินค้าที่ขายก็มักจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนซึ่งมักจะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น  นอกจากนั้น  บริษัทสามารถกำหนดราคาขายให้อิงกับต้นทุนของบริษัทได้ค่อนข้างจะทันที  เพราะเป็นกิจการที่ซื้อมา-ขายไป  ทำให้กำไรของบริษัทผันแปรไปตามยอดขายเสมอ
ข้อสอง  กิจการ Modern Trade มักมีความเสี่ยงในการล้มละลายต่ำเนื่องจากบริษัทขายสินค้าเป็นเงินสด  แต่จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อหลายเดือน  ทำให้บริษัทมีเงินสดมากในขณะที่มักจะมีหนี้เงินกู้น้อย  หลายบริษัทไม่มีหนี้เงินกู้จากธนาคารเลยและทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้สูงเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้  บางบริษัทจ่ายถึง  100%  และจ่ายทุกไตรมาศ

ข้อสาม  เนื่องจากกิจการ Modern Trade ในตลาดหลักทรัพย์มักจะเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้าที่ตนเองขาย  เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่  ดังนั้น  บริษัทจึงมีความได้เปรียบคู่แข่งโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับร้านค้าแบบดั้งเดิม  บริษัทจึงมักจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้บริษัทสามารถจะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ  อย่างยาวนานทั้ง ๆ  ที่ตัวอุตสาหกรรมโดยรวมก็อาจจะไม่ได้เติบโตมากนัก  การเติบโตของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  นอกจากจะเติบโตจากร้านสาขาเดิมแล้ว  ยังมักจะเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่ด้วย  ดังนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้หลาย ๆ  ตัวจึงเป็นหุ้นที่ เติบโต”  ระยะยาว  แม้ว่าอัตราการเติบโตของบางบริษัทอาจจะไม่สูงนัก

หุ้นค้าปลีกนั้น  มีผลงานที่ดีและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตลอด  แต่ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ดูเหมือนว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลังจากที่ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งและกำลังมีรัฐบาลที่มีนโยบายในการเพิ่มรายได้ให้กับคนมีรายได้ต่ำโดยการเพิ่มเงินเดือนและการ ประกันราคาสินค้าการเกษตรในระดับที่สูง   ผลจากนโยบายนี้จะทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ  กับอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น  ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายของกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ  นอกจากนั้น  การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในเวลาเดียวกันก็จะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง  จริงอยู่ที่ต้นทุนค่าแรงของบริษัทอาจจะเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทก็น่าจะส่งผ่านต้นทุนนี้ให้กับผู้ซื้อสินค้าได้  เพราะทุกบริษัทก็ต้องจ่ายค่าแรงที่เพิ่มขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น   ดังนั้น  หากเป็นไปตามภาพดังกล่าวนี้  กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้

ประเด็นที่ต้องคำนึงสำหรับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ใช่เรื่องของผลประกอบการหรือความเข้มแข็งของตัวธุรกิจ  แต่น่าจะอยู่ที่ราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นมามากและทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีราคาที่ ไม่ถูกแล้ว   ว่าที่จริง  ถ้ามองจากค่า PE และค่า PB ผมคิดว่าน่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ แพงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์   อย่างไรก็ตาม  ก็อาจจะพูดได้เหมือนกันว่ามันเป็นหุ้นกลุ่มที่ ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงเวลานี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  ในความคิดของผม  หุ้นกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ในเวลานี้  ถ้าจะลงทุนก็คงไม่ใช่แนวทางแบบ  เบน  เกรแฮม ที่เน้นหาหุ้นถูกเป็นหลัก  แต่อาจจะเป็นแนวทางแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์  ที่เน้นลงทุนในหุ้นแบบ ซุปเปอร์สต็อกคือลงทุนในหุ้นที่ดีสุดยอด  ในราคาที่ยุติธรรม  ว่าที่จริง  บัฟเฟตต์เองก็ซื้อหุ้น  วอลมาร์ท ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อไม่นานมานี้  ในราคาที่ไม่ถูกเลย     
     
19  กรกฎาคม  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น