“ข่าวดี” ในแวดวงของนักเล่นหุ้นที่พบมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการที่บริษัท “ชนะ” อะไรบางอย่าง เช่น
การประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐเช่นกิจการโทรคมนาคม การชนะประมูลก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และการชนะประมูลหรือแข่งขันซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียน
เป็นต้น เพราะทุกครั้งที่มี “ข่าวดี” ดังกล่าว
นักเล่นหุ้นต่างก็จะเข้าซื้อหุ้นไล่ราคาจนขึ้นไปสูง
คนคิดว่าการที่บริษัทชนะการประมูลจะทำให้ผลประกอบการในอนาคตของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่ความเป็นจริงก็คือ
การชนะประมูลนั้น
ไม่ได้แปลว่าบริษัทจะต้องมีกำไรเพิ่มในอนาคต
การชนะการประมูลนั้นหมายความเพียงว่าบริษัทจะมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น มีธุรกิจมากขึ้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะต้องมีกำไรเพิ่มขึ้น
หรือบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นคุ้มค่ากับเงินที่จะต้องลงทุนเพิ่ม อย่างไรก็ตาม
นักวิเคราะห์หุ้นของบริษัทโบรกเกอร์นั้นก็มักจะมีหลักคิดที่อิงอยู่กับความเชื่อที่มี “หลักการอ้างอิง”
และเป็น “ประโยชน์” ต่อโบรกเกอร์เองในการกระตุ้นให้คนซื้อขายหุ้น ดังนั้น
นักวิเคราะห์ส่วนมากก็จะคาดการณ์ผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นอย่างคนมองโลกในแง่ดี นั่นคือ
คาดว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นคุ้มค่าหรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น ไม่มีใครบอกว่า การ “ชนะ” การประมูลหรือแข่งขันดังกล่าวเป็นสิ่งที่เลวร้ายและจะทำให้บริษัทขาดทุนหรือจะเป็น “หายนะ” ของบริษัทในอนาคต เหนือสิ่งอื่นใด การที่ “หุ้นวิ่ง”
ขึ้นไปทันทีนั้น
จะให้อธิบายได้อย่างไรว่าบริษัทกำลังจะเผชิญกับ “ภัยพิบัติ” จากการชนะประมูล?
แต่สำหรับผมเอง
การที่บริษัทชนะประมูลหรือชนะในการซื้อกิจการแข่งกับคนอื่นนั้น ผมไม่ได้ถือว่ามันเป็นข่าวดีเสมอไป ว่าที่จริงหลายครั้งผมคิดว่ามันเป็น “ข่าวร้าย” ของบริษัท เพราะ “ราคา” ที่บริษัทเสนอที่จะจ่ายให้กับผู้ให้ใบอนุญาติหรือผู้จ้างหรือผู้ขายนั้น “แพงเกินไป” และถ้าเป็นอย่างนั้น การ “ชนะ” และทำให้รายได้ของบริษัทในอนาคตเพิ่มขึ้นก็ไม่เป็นประโยชน์ แต่กลับเป็นโทษเพราะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทลดลง
หรือในบางครั้งทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหายนะได้ ปรากฏการณ์ที่บริษัท “ชนะ” แต่กลับ “พ่ายแพ้” และเสียหายในภายหลังเนื่องจากการ “จ่าย” หรือ “ต้นทุน”
ที่แพงเกินไปนี้เรียกกันว่า
“Winner’s Curse” หรือ “คำสาปของผู้ชนะ”
ผู้ชนะต้อง “คำสาป” ได้อย่างไร? สถานการณ์อย่างไรที่มักทำให้ผู้ชนะ
“ถูกสาป” ลองมาดูเหตุการณ์สมมุติว่ามีกิจการหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตและมีศักยภาพในการทำกำไรดีแต่การประเมินผลประกอบการในอนาคตก็ไม่แน่นอน ได้ประกาศขายและเปิดให้คนมาประมูลซื้อ ผู้เข้าประมูลมีจำนวนหลายราย
แต่ละคนก็ประเมินมูลค่าของกิจการเพื่อเสนอราคาซื้อ และถึงแม้ว่าต่างก็ได้รับข้อมูลเท่า ๆ กัน
แต่มุมมองและการวิเคราะห์ก็ต่างกัน
ดังนั้น
บางคนก็จะให้มูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
แต่บางคนและน่าจะเป็นส่วนมาก
ก็มองโลกในแง่ดีและให้มูลค่าสูงกว่าความเป็นจริง ในที่สุด
คนที่เสนอราคาสูงที่สุดก็ชนะและได้กิจการไปพร้อมกับ “คำสาป” นั่นก็คือ
เขาจะเสียหายและประสบกับภัยพิบัติในภายหลังเนื่องจากเขาจ่ายแพงเกินไป
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาประเมินรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสูงเกินไปและ/หรือประมาณการต้นทุนต่ำเกินไป
เป็นต้น
ลักษณะของ
ผู้ชนะที่จะ “ถูกสาป” นั้น
มักเกิดขึ้นกับกิจการที่เปิดขายหรือเปิดประมูลดังนี้คือ ข้อแรก
เป็นกิจการที่มีจำนวนจำกัดแต่มีคนต้องการมาก ข้อสอง
กิจการมีความไม่แน่นอนในอนาคตสูงซึ่งทำให้การประเมินผลการดำเนินงานทำได้ยากและไม่แน่นอน ข้อสาม
ถ้าการขายเป็นดีลที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและผู้ขายกับผู้ซื้อไม่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง และสุดท้ายก็คือ ความ “อยากได้” ของผู้ซื้อหรือผู้เข้าประมูลมีมากเนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจล้วน
ๆ มีสูงกว่าปกติ
ลักษณะทั้งหมดนี้มักจะทำให้ผู้ชนะก็คือ
ผู้ที่จ่ายราคาสูงเกินความเป็นจริงไปมากเพราะเขาอาจจะประเมินราคาผิดพลาดเนื่องจากการมองโลกในแง่ดีหรือมีแรงจูงใจที่อยากจะชนะสูงที่สุด
ข้อสังเกตเพิ่มเติมของผมก็คือ เนื่องจากการ “ชนะ”
ประมูลหรือชนะในการซื้อกิจการนั้น
เป็น “ข่าวดี” ที่สำคัญของหุ้นในตลาด ดังนั้น
หลายบริษัทโดยเฉพาะที่ผู้บริหาร “เล่น” หุ้นของตนเองด้วยจึงมักมีความโน้มเอียงที่จะเอาชนะในการประมูลหรือซื้อกิจการ
เพราะนั่นหมายความว่าหุ้นจะขึ้นและเขาอาจจะได้ประโยชน์ในระยะเวลาอันสั้น และนั่นก็จะนำมาซึ่ง “คำสาป” ที่จะตามมา ซึ่ง Value Investor จะต้องเข้าใจ
ก่อนที่จะจบผมอยากจะย้ำให้เห็นถึงประสบการณ์ Winner’s Curse ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วมากมายในตลาดหุ้นไทยทั้งที่ย้อนหลังไปนับสิบ
ๆ ปีและที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
ตัวอย่างที่ชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องของกิจการโทรคมนาคมที่บางบริษัทได้ใบอนุญาตทำกิจการซึ่งในช่วงแรกถือเป็นข่าวดีและทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นไปมากแต่ในระยะยาวแล้วกลับมีผลประกอบการที่ย่ำแย่ขาดทุนจนราคาหุ้นตกต่ำลงไปมาก แม้แต่ในเรื่องของการชนะประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของทางราชการเองนั้น หลายครั้งก็ไม่ได้สร้างกำไรให้กับบริษัททั้ง
ๆ
ที่ในช่วงประมูลได้นั้นหุ้นก็วิ่งตาม
“ข่าวดี”
เช่นกัน
ประสบการณ์ของการชนะในการซื้อกิจการก็คล้าย ๆ กัน
ในวันที่บริษัทซื้อกิจการสำเร็จนั้น
หุ้นก็วิ่งแรง
แต่ภายหลังเมื่อบริหารกิจการนั้นกลับพบว่ากำไรไม่ได้มาตามที่คาด ผลก็คือ
หุ้นก็หงอยลง
คนที่ซื้อหุ้นในช่วงที่มีข่าวดีและถือยาวในที่สุดก็ขาดทุนย่อยยับ ดังนั้น
สำหรับผมเองที่เน้นการลงทุนระยะยาวแล้ว
การที่บริษัท “ชนะ” ในการประมูลหรือการซื้อกิจการนั้น
ผมจะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่านั่นเป็นการชนะที่ดีหรือจะเป็นการชนะที่ “ต้องคำสาป” หากว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นอย่างหลัง
ผมก็จะไม่ดีใจและอาจจะขายหุ้นโดยเฉพาะถ้าหุ้นขึ้นไปเพราะ “ข่าวดี” ที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น
11 ตุลาคม
2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น