ผมเพิ่งกลับจากการส่งลูกไปเรียนที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เวลาประมาณเกือบสองสัปดาห์ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ใจกลางลอนดอนที่ผมเช่าให้ลูกพักอาศัยนั้น
ผมพบประสบการณ์หลายอย่างที่อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าอังกฤษซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วอันดับต้น
ๆ ของโลกนั้น
น่าจะมีระดับการพัฒนาที่เสื่อมถอยลงเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่กำลังพัฒนามากขึ้น พูดง่าย ๆ
ความห่างระหว่างรายได้หรือระดับการพัฒนาของอังกฤษกับไทยตามสถิตินั้น น่าจะลดลงในอนาคต ว่าที่จริง
ผมเองคิดว่าตัวเลขสถิติความห่างชั้นในปัจจุบันเองนั้น ก็อาจจะไม่ใช่
“ของจริง” ตามพื้นฐาน
แต่เป็นเรื่องของตัวเลขที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทกับค่าเงินปอนด์ที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
ทำให้ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของอังกฤษเหนือกว่าของไทยมากมายกว่าสิบเท่า
เริ่มตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง ผมต้องใช้เวลาเข้าคิวรอก่อนที่จะผ่านการตรวจประมาณสองชั่วโมง คิวนั้นยาวมากเป็นร้อย ๆ
คนแต่พนักงานตรวจมีน้อยและไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากนัก เปรียบเทียบกับการตรวจของสนามบินสุวรรณภูมิของเราแล้ว ผมคิดว่าของเราเหนือกว่ามาก การรอส่วนใหญ่ไม่น่าจะเกิน 15 นาที จริงอยู่ที่สนามบินลอนดอนอาจจะมีป้ายบอกขออภัยในความล่าช้าเนื่องจากประเด็นเรื่องการก่อการร้าย
แต่ผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีการตรวจสอบอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้เสียเวลาเพิ่ม ดังนั้น
ข้อสรุปของผมก็คือ
ความประทับใจในเรื่องของประสิทธิภาพเสียไปตั้งแต่ “ก้าวแรก”
ห้องที่ผมเช่านั้น
ผมติดต่อไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย
ราคาค่าเช่านั้นค่อนข้างสูง
ค่าเช่านั้นแพงพอ ๆ กับค่าเล่าเรียน
สาเหตุอาจจะเป็นเพราะในลอนดอนไม่มีการอนุญาตสร้างตึกสูงทำให้ราคาอพารตเม้นท์แพงส่งผลให้ค่าเช่าแพงตามไปด้วย ห้องที่ผมอยู่นั้นมีขนาดเล็กเช่นเดียวกับห้องเช่าทั่ว
ๆ ไป
แต่ทุกอย่างออกแบบไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
เตียงสามารถพับเก็บเข้าผนังได้
ห้องน้ำใหม่และสะอาด
ห้องครัวมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น
โต๊ะสำหรับนั่งทำงานไม่มี
นี่อาจจะเป็นวัฒนธรรมว่าเขาไม่ทำงานในห้องพัก อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ผมแปลกใจก็คือ เราต้องติดต่อขอใช้บริการกับบริษัทที่ให้บริการน้ำ ไฟฟ้า
และแก๊สเอง ซึ่งมีหลายบริษัท นอกจากนั้น
ผมเพิ่งทราบว่าถ้าเราจะดูทีวี
เราต้องขออนุญาต
และใบอนุญาตนั้นเราต้องเสียเงินเดือนละประมาณห้าร้อยบาท ทั้งหมดนั้น
สำหรับผมแล้ว
มันเป็นความยุ่งยากโดยเฉพาะถ้าภาษาอังกฤษคุณไม่ดีพอในการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์และทุกอย่างคุณต้องทำเอง
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอังกฤษอาจจะค่อย ๆ
ตกต่ำลงในแง่ของการเป็นประเทศชั้นนำมากที่สุดของโลกก็คือ การที่ผมขอติดอินเตอร์เน็ตที่ห้องพัก เพราะคำตอบที่ได้ก็คือ จะต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์กว่าจะใช้การได้
ผมไม่ทราบว่าอะไรทำให้การขอใช้อินเตอร์เน็ตนั้นยุ่งยากนัก
แต่นี่คือเครื่องมือที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน ผมเองคิดว่าถ้าประเทศพัฒนามาก ๆ แล้ว
ห้องพักแทบทุกห้องน่าจะต้องมีอินเตอร์ติดอยู่เป็นพื้นฐานเหมือนกับน้ำ ไฟฟ้า
หรือโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม
โชคดีที่ประเด็นนี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายแต่ก็ต้องจ่ายแพงกว่ามาก
การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องทำ
ความสะดวกสบายนั้นผมคิดว่าเทียบกับธนาคารของไทยไม่ได้
ผมต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมงเหตุเพราะพนักงานให้บริการมีน้อย
การเปิดบัญชีที่จะทำให้ผมสะดวกในการโอนเงินหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ นั้น
ผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเดือนละไม่ต่ำกว่า 500 บาท
เปิดเสร็จแล้วเราต้องรออีกหลายวันกว่าจะได้บัตรเอทีเอ็ม นอกจากนั้น
เครื่องเอทีเอ็มของแบ็งค์เท่าที่เห็นตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น
น้อยกว่าของไทยเรามาก
และนี่คือแบ็งค์ชั้นนำในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ผมมีโอกาสไปเที่ยวที่ตลาดขายของเก่าย่านน็อตติงแฮมในลอนดอนซึ่งผู้คนมากมายไปช็อปปิงในวันหยุด วันนั้น
ลูกสาวผมถูกล้วงกระเป๋า
เงินสูญไปไม่มากนักแต่บัตรเครดิตที่หายทำให้ผมกังวล
ผมรีบโทรติดต่อกลับมาที่เมืองไทยเพื่ออายัดบัตร ทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็ว พนักงานของแบ็งค์ถามว่าจะให้ส่งบัตรไปที่ลอนดอนหรือส่งไปที่บ้านในกรุงเทพ
ผมเลือกอย่างหลังและได้รับบัตรเมื่อผมกลับมาที่เมืองไทยแล้ว ผมคิดว่าธุรกิจ บริการ
และความสามารถในการแข่งขันของแบ็งค์ไทยเรานั้นไม่เบาทีเดียว และนี่อาจจะไปถึงธุรกิจอื่น ๆ ด้วย
เป็นเรื่องปกติที่ผมจะต้องเดินห้างและหาร้านหนังสือโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
ผมค่อนข้างผิดหวังที่พบว่าร้านหนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้ขายหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนโดยเฉพาะในเรื่องของหุ้นมากนัก ดูเหมือนว่าร้านหนังสือใหญ่ ๆ
ของไทยจะขายหนังสือแนวธุรกิจและการลงทุนมากกว่าร้านหนังสือในอังกฤษ นี่แสดงให้เห็นถึงความ “คึกคัก” ของความ
“เป็นธุรกิจ”
ของไทยที่เหนือกว่าหรือไม่แพ้อังกฤษได้เหมือนกัน
นอกจากร้านค้าใหญ่โตหรูหราอย่างห้างแฮร็อดแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
อังกฤษนั้นแทบไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เลย ร้าน “โชห่วย” ที่มีเต็มบ้านเต็มเมืองนั้นเป็นร้านแบบครอบครัวที่ส่วนใหญ่บริหารโดยคนที่มีเชื้อสายอื่นเช่นอินเดียเป็นต้น ดังนั้น
คุณภาพจึงสู้ร้านสะดวกซื้อของไทยไม่ได้แม้ว่าสินค้าจะมีค่อนข้างครบเหมือนกัน
สิ่งที่อังกฤษดีกว่าไทยมากจริง ๆ นั้นผมคิดว่าอยู่ที่ระบบการเดินทาง ระบบรางทั้งที่เป็นรถไฟบนดิน ใต้ดิน
และรถบัส นั้น ต้องเรียกว่า “สุดยอด” เพราะเราสามารถซื้อตั๋วรายวัน รายสัปดาห์
หรือรายเดือน ที่ใช้บริการได้ทุกอย่าง
ดังนั้น จะไปที่ไหนก็สะดวกและรวดเร็วมากด้วยราคาที่ไม่แพง
ผมคงต้องจบประสบการณ์สั้น ๆ จากอังกฤษด้วยการบอกว่า สิ่งที่เป็นข้อด้อยที่ผมพบที่อังกฤษนั้น
ผมไม่ได้พบในประเทศย่านเอเซียที่เจริญแล้ว
หลายประเทศในเอเซียที่ผมไปนั้น
ประสิทธิภาพคล้าย ๆ หรือดีกว่าประเทศไทย
นี่อาจจะเป็นการบอกให้เรารู้ว่า
เอเซีย ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้นดีกว่าที่ตัวเลขรายได้ประชาชาติแสดงให้เห็นเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปและอนาคตก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย
ๆ ดังนั้น
ค่าเงินบาทและค่าเงินของเอเซียที่แข็งค่าขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เพราะมันจะเป็นตัวบอกว่าเราไม่ได้จนและแย่กว่าประเทศพัฒนาแล้วมากขนาดนั้น และดังนั้น
คนที่ “โวย” และต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลงจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลกับพื้นฐานของประเทศและในระยะยาวแล้วก็คงจะฝืนไม่ได้
18 ตุลาคม
2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น