วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาหารหรือขยะ


คนที่จะเป็น เซียนในวิถีทางแบบ Value Investment นั้น   ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นนักอ่านตัวยง  วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่สำคัญ  เพราะเขาอ่านหนังสือมากมายมหาศาลและเป็นคนที่อ่านได้เร็วมาก  นอกจากหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงแล้ว  ผมเชื่อว่าเขาอ่านหนังสืออื่น ๆ  อีกมาก  เพราะถ้าจำไม่ผิด  เขาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการชื่อดังอย่าง  The Selfish Gene ของ Richard Dawkins   เช่นเดียวกัน  ชาลี มังเกอร์ เพื่อนซี้และหุ้นส่วนของ วอเร็น บัฟเฟตต์เองก็อ่านหนังสือหลากหลายและน่าจะมากกว่า บัฟเฟตต์ ในแง่ของความหลากหลายทางวิชาการอื่น ๆ  เขาบอกว่าการลงทุนนั้น  คุณต้องอาศัยความรอบรู้รอบด้านมากกว่าความรู้ที่เจาะจงเฉพาะอย่าง

การอ่านหนังสือมากนั้น   ผมคิดว่าไม่พอที่จะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่ดี  การอ่านที่ได้ประโยชน์และได้ความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงต่างหากที่ผมคิดว่า เป็นเรื่องสำคัญ  ดังนั้น  การเลือกอ่านหรือเลือกที่จะเชื่อหรือยอมรับในสิ่งที่เราอ่านจะเป็นหัวใจ สำคัญที่ทำให้เราเก่งขึ้น  รอบรู้ขึ้น   การอ่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  และไม่จริงนั้น  ถ้าดีหน่อยก็ทำให้เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์   แต่ถ้าแย่ก็คือ  ทำให้เราเสียหาย  ขาดทุน  และรู้น้อยลง   เปรียบไปก็เหมือนกับการที่สมองเรานั้น   แทนที่จะได้  อาหาร  ก็กลายเป็นได้ ขยะหรือได้ ยาพิษ  และต่อไปนี้ก็คือข่าวสารข้อมูลบางส่วนที่ผมคิดว่าเราควรใส่ใจมากน้อยแค่ไหน  และเราควรเชื่อหรือไม่  เอาเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนโดยตรง

ข้อมูลข่าวสารเรื่องแรกที่เรามักพบเจอเป็นประจำก็คือ  การคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นหรือดัชนีหุ้นในปีนี้หรือปีหน้า   สำหรับผม  นี่เป็น ขยะ  เพราะการคาดการณ์ตลาดหุ้นอย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงนั้น  เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีใครทำได้ดูจากสถิติที่ผ่านมา  เหตุผลก็คือ  ภาวะตลาดหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับเหตุการณ์มากมายที่จะเกิดขึ้นในประเทศและในโลก  เหตุการณ์เหล่านั้นมักจะเกิดขึ้นโดย ไม่คาดฝัน  ดังนั้น  ภาวะตลาดหุ้นก็มักจะเป็นไปอย่าง  ไม่คาดฝัน  ก็ใครจะไปคิดว่าปี 2552 ที่ทุกคนคิดว่าจะเป็นปี  เผาจริง  ของภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยนั้น   จะกลายเป็น ปีทองที่ทำให้ตลาดหุ้นคึกคักกันทั่วโลก   ด้วยเหตุผลดังกล่าว  เวลาฟังใครคาดการณ์เกี่ยวกับดัชนีตลาดในปีนี้หรือปีหน้า  อย่าไปคิดจริงจังอะไร  พวกเขาต้องคาดเพราะมีคนจำนวนมากอยากฟังเท่านั้น   ไม่ได้แตกต่างอะไรกับหมอดูที่ต้องตอบคำถามของคนที่กำลังสับสนและกังวลกับ ชีวิตในอนาคตของตนเอง

เรื่องของ  “Dr. Doom”  หรือคนที่มาบอกว่า  โลกกำลังจะแตก  ประเทศไทยกำลังวิบัติ  เกิด  กลียุค  ถึงกับล่มสลาย  เหล่านี้  ฟังแล้วก็อย่าไปเชื่อหรือกังวล  เพราะหลายคนที่พูดนั้นก็พูดกันเกือบทุกปี  ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอะไร   ความจริงก็คือโอกาสที่จะเกิดนั้นน่าจะต่ำมาก  เช่นเท่ากับโอกาสที่เราจะเดินออกนอกบ้านแล้วถูกฟ้าผ่าตาย    ถ้าเราก็ยังเดินออกนอกบ้านทุกวันผมก็ไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะยังลงทุนในตลาด หุ้นเป็นปกติ   จำไว้ว่า  ดร. ดูม  นั้นมีอยู่ทุกประเทศ  และก็แน่นอน  นาน ๆ  ก็มี  ดร. ดูม  ที่พยากรณ์ถูกต้อง  ก็คงเป็นอย่างที่พูดกันว่า  แม้แต่นาฬิกาตายก็ยังบอกเวลาได้ถูกต้องวันละหนึ่งครั้ง  ดังนั้น  อย่าสนใจการพยากรณ์แบบ ดร. ดูม  ถ้าไม่แน่ใจในอารมณ์ของตัวเองก็อย่าไปอ่าน  เพราะมันเป็น  ขยะข่าวสาร

เรื่องของเท็คนิคใหม่ ๆ  ในการลงทุนที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม  นี่ก็เป็นข้อมูลข่าวสารที่มีการเสนอออกมามากมาย  ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นเรื่องของประสบการณ์ของเจ้าตัวที่อ้างว่าสามารถทำกำไร ได้งดงามจากเท็คนิคที่  ค้นพบเอง   เท็คนิคเหล่านั้นเกือบทั้งหมดมักจะไม่มีเหตุผลที่เข้มข้นรองรับแต่ชื่อที่ ใช้เรียกก็มักจะน่าประทับใจชวนให้คิดว่าเป็นเทคนิคที่ตอบโจทย์ที่คนหลายคน กำลังแสวงหาคำตอบอยู่  สำหรับผมแล้ว  เท็คนิคใหม่ ๆ  แปลก ๆ  นั้นเกือบทั้งหมดก็เป็น  ขยะ   มีคนเคยถาม  วอเร็น บัฟเฟตต์ ว่ามีเท็คนิคอะไรพิเศษจึงสามารถสร้างผลงานสุดยอด  เขาบอกว่า  เท็คนิคก็เป็นเรื่องเก่าที่มีคนอื่นโดยเฉพาะ เบน เกรแฮม ได้คิดไว้แล้วทั้งนั้นไม่มีอะไรใหม่  เขาเพียงแต่เอามันมาใช้ได้อย่างถูกต้องเท่านั้น

ข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าต้องระวังเวลาอ่านก็คือเรื่องของ  ผลการลงทุน  ของ เซียน  หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง   ถ้าเป็นเรื่องของการศึกษาทางวิชาการจริง ๆ  มีตัวเลขข้อมูลที่สนับสนุนชัดเจน  เช่น ผลการลงทุนของกองทุนรวมที่มีข้อมูลเปิดเผยและเป็นตัวเลขจริง  ข้อมูลของบริษัทอย่าง  เบิร์กไชร์ ของ วอเร็น บัฟเฟตต์  หรือการศึกษาทางวิชาการเปรียบเทียบผลตอบแทนของกลยุทธ์แบบ  Value กับ Growth ที่มีเกณฑ์แน่นอนและทำอย่างมาตรฐาน  แบบนี้  เราก็พอเชื่อถือได้  แต่การ อ้างว่าได้ผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้โดยไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้สนับสนุน  หรือการทำโพล์ทางอินเตอร์เน็ตนั้น  ผมคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าเชื่อถือ  เหตุผลก็คือ  มันจะมี  Bias หรือความลำเอียง  นั่นก็คือ  คนที่ได้ผลตอบแทนดีก็จะมาตอบแบบสอบถามมากกว่าคนที่มีผลงานแย่  คนบางคนก็บอกผลตอบแทนที่อาจจะไม่จริงแต่มีแนวโน้มไปในทางสูงเพื่อที่จะแสดง ว่าตนเองมีความสามารถสูงซึ่งก็เป็นเรื่องของแรงจูงใจของมนุษย์ทุกคน  ดังนั้น  เมื่ออ่านข้อมูลเหล่านั้น  อย่าไปเชื่อ  พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงสงครามเวียตนามที่ทหารสหรัฐและเวียตนามต่างก็ คุยว่าสังหารศัตรูได้มากมายในการรบทุกครั้ง  แต่มีคนให้ข้อสังเกตว่าถ้าเป็นจริงตามที่ว่า  กองทัพเวียตนามและอเมริกาคงหมดไปนานแล้ว

สุดท้ายก็คือข้อมูลหุ้นรายตัวพร้อมการวิเคราะห์  นี่คือข้อมูลที่มองภายนอกนั้นคือ  อาหาร  แน่  เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของข้อมูลตัวเลขที่เป็นจริงพร้อมการวิเคราะห์ตาม ข้อมูลที่มีอยู่  ดังนั้น  คนที่อ่านข่าวสารข้อมูลก็น่าจะได้ความรู้เกี่ยวกับบริษัท  ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จะเสียหายหรือเสียเวลาได้  อย่างไรก็ตาม  เราก็ควรพิจารณาแรงจูงใจของคนที่นำเสนอข้อมูลนั้นด้วยเพราะคงไม่มีใครยอม เสียเวลานำเสนอข้อมูลให้คนอื่นโดยไม่ได้อะไรตอบแทน  ดังนั้น  เมื่ออ่านข้อมูลแล้วก็ต้องคิดด้วยตนเองว่าข้อมูลที่ปรากฏนั้นสมเหตุผลหรือ ไม่  ราคาหุ้นที่เห็นนั้นคุ้มค่าหรือไม่  ที่สำคัญมีปัจจัยอะไรอื่นไหมที่ทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนพื้นฐานของกิจการทำ ให้หุ้นมีราคาต่ำกว่าที่ควรเป็น  มิฉะนั้น  การใช้ข้อมูลที่รับมาลงทุนอาจจะกลายเป็นกับดัก   สิ่งที่เราคิดว่าเป็นอาหารอาจจะกลายเป็น เหยื่อล่อ  ที่ทำให้เรา  ติดกับหรือขาดทุนได้


10  มกราคม  2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น