ภาวการณ์ของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในวันนี้ดูเหมือนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี
2540 ต่างกันแต่เพียงว่า
คราวที่แล้วเป็นการเกิดขึ้นในประเทศไทยและลามไปทั่วเอเชีย
แต่คราวนี้เกิดขึ้นที่อเมริกาและกำลังลามไปทั่วโลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยนั้น ดูเหมือนว่าจะพอ ๆ กัน
คือในปี 2540 ดัชนีตลาดหุ้นตกลงไปประมาณ 55% ในขณะที่ปี 2551 ถึงขณะนี้ หุ้นตกลงไปประมาณ 50%
ต้น ๆ เหมือนกัน ถ้ามองว่าดัชนีตลาดหุ้นเป็นดัชนีชี้นำที่แม่นยำ ก็อาจจะอนุมานได้ว่า ปีหน้าของเศรษฐกิจไทยก็คงจะเป็นปี “เผาจริง” อย่างที่เกิดขึ้นในปี 2541
ที่เศรษฐกิจไทยหดตัวลงไปประมาณ 10%
แต่ถ้าทายกันต่อไปอีกก็จะต้องบอกว่าดัชนีหุ้นไทยในปีหน้านั้นน่าจะทรงตัว เพราะดัชนีหุ้นไทยในปี 2541 นั้นติดลบเพียง 5% ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากปีหน้าไปแล้ว ดัชนีหุ้นน่าจะมีการปรับตัวขึ้นไปอย่างแรงไม่ต่ำกว่า
30-40%
เมื่อตลาดคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว
เพราะนี่คือเหตุการณ์ในปี 2542
ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 35%
คำถามที่จะต้องตอบก็คือ
วิกฤติครั้งนี้จะเหมือนกับครั้งที่แล้วไหม? วิกฤติครั้งนี้กับครั้งที่แล้ว ครั้งไหนรุนแรงกว่ากัน ถ้าตอบคำถามนี้ได้
เราก็น่าจะพอรู้ว่าดัชนีหุ้นที่ตกลงมาครั้งนี้จะเป็นวิกฤติหรือโอกาสในการลงทุน
ในความทรงจำของผม
เหตุการณ์ในช่วงก่อนปี 2540 นั้น
ประเทศไทยมีภาวะทางเศรษฐกิจแบบ “ฟองสบู่” นั่นคือ มีการเติบโตของเศรษฐกิจแบบไม่ยั่งยืน สาเหตุใหญ่ก็คือ
มีการปล่อยสินเชื่อจำนวนมากมหาศาลให้กับโครงการต่าง ๆ
โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมากที่ไม่มีความคุ้มค่าทางการลงทุน
สิ่งนี้เป็นไปได้เพราะมีการนำเงินดอลลาร์จากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมากผ่านสถาบันการเงิน
เงินเหล่านี้เข้ามาหาส่วนต่างดอกเบี้ยโดยที่ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและการล้มละลายของผู้กู้เพราะรัฐบาลกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน “ตายตัว” ส่วนความเสี่ยงที่สถาบันการเงินจะล้มนั้นดูเหมือนจะไม่มีใครคำนึงถึง ผลก็คือ
สถาบันการเงินและธุรกิจมีหนี้มหาศาล
ตรงกันข้าม
เหตุการณ์ในช่วง 2-3
ปีที่ผ่านมานั้น
เศรษฐกิจไทยไม่มีภาวะฟองสบู่
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะบทเรียนที่เคยได้รับจากปี 2540
อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะภาวะทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น
การลงทุนขนาดใหญ่จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น
ในเวลาเดียวกัน บริษัทต่าง ๆ
ก็มีกำไรดีเป็นประวัติการณ์ทำให้ส่วนของทุนเพิ่มขึ้นมาก ผลก็คือ
หนี้ของบริษัทต่าง ๆ
มีน้อยลงไปมาก ตัวเลขคร่าว ๆ ก็คือ
ในปี 2551 บริษัทที่จะจดทะเบียนในตลาดมีหนี้ต่อทุนประมาณ
1 เท่า ในขณะที่ในปี 2540
มีหนี้ต่อทุนไม่น้อยกว่า 2 เท่า
และเมื่อเกิดการลดค่าเงินในปี 2540 หนี้สินได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1
เท่าตัวจากผลของการปรับค่าเงิน
ประกอบกับการที่บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมาก ทำให้ทุนลดลงและทำให้หนี้สินต่อทุนมากขึ้นเป็น
4-5 เท่า ซึ่งนำไปสู่ภาวะล้มละลาย หรือเกือบล้มละลายของธุรกิจเกือบทั้งประเทศ
หลังจากเหตุการณ์ในปี 2540 นั้น
ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวและลดกำลังการผลิตลงเพราะกิจการล้มละลายหรือไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเนื่องจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ ดังนั้น
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจึงติดลบถึง 10% แต่ในปี 2551
นี้ผมเองก็ยังไม่เห็นว่าจะมีบริษัทขนาดใหญ่รายไหนที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินไม่ต้องพูดว่าจะล้มละลาย การที่บริษัทมีหนี้น้อย และสถาบันการเงินก็ค่อนข้างเข้มแข็ง ผมเชื่อว่าถึงแม้ในปีหน้ายอดขายของบริษัทต่าง
ๆ
อาจจะเติบโตน้อยมากหรือไม่เติบโตเลย
ปัญหาที่บริษัทใหญ่ ๆ จะล้มละลายก็น่าจะมีโอกาสน้อยมาก ข้อสรุปของผมก็คือ ปีหน้า
เศรษฐกิจบ้านเราไม่น่าจะติดลบ
อย่างมากก็ชะลอตัวลงและการว่างงานจำนวนมากก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ข้อดีของเศรษฐกิจหลังปี 2540 ก็คือ เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาทั้งหลายยังดีอยู่ ประกอบกับการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาก
ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้มากและกลายเป็นเครื่องจักรที่พาให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในปี 2551 นี้ ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจทั้งโลกกำลังถดถอยลง ดังนั้น
การส่งออกซึ่งรวมถึงการท่องเที่ยวจะต้องชะลอตัวลงอย่างมากและนี่คือสิ่งที่จะทำให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงชะลอตัวลง
แต่การลดลงของการส่งออกและการท่องเที่ยวจะมากขนาดที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบนั้นผมก็คิดว่ายังไม่ถึงขนาดนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ ปี 2552
นั้น น่าจะดีกว่าปี 2541 มาก ที่สำคัญก็คือ
ไม่น่าจะมีการล้มละลายของบริษัทและการตกงานอย่างกว้างขวางอย่างที่เคยเกิดขึ้น
ปี 2540 และหลังจากนั้นอีก 2-3 ปี ทรัพย์สินเกือบทุกประเภทในเมืองไทย เช่น
ที่ดิน บ้าน คอนโด
อพาร์ทเม้นท์
รวมทั้งหลักทรัพย์ที่เป็นกระดาษทั้งหลายต่างก็มีมูลค่าลดลงมหาศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนต้องขายของ “หนีตาย” แต่ในปี 2551
ผมก็ยังไม่เห็นว่าสินทรัพย์ที่คนไทยถืออยู่ฝ่ายเดียวเป็นหลัก เช่นอสังหาริมทรัพย์ มีราคาลดลงเป็นเรื่องเป็นราว ตรงกันข้าม
หลักทรัพย์ต่าง ๆ
เช่นหุ้นที่มีต่างชาติถือครองเป็นจำนวนมากกลับมีราคาลดลงถึงครึ่งหนึ่ง นี่น่าจะแสดงว่าต่างชาติเป็นผู้ที่ขายหุ้น “หนีตาย” อาจจะด้วยเหตุผลว่าเขามีปัญหาหนักในบ้านเขาและจำเป็นต้องนำเงินกลับ ดังนั้น
เขาขายทุกราคาโดยไม่สนใจพื้นฐานของกิจการหรือภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ข้อสรุปของผมก็คือ ดัชนีหุ้นที่ลดลงขณะนี้ อาจจะไม่ได้เป็นดัชนีชี้นำที่แม่นยำว่าเศรษฐกิจของเมืองไทยในปีหน้าจะแย่มากเหมือนกับปี
2541 ที่เป็นปี “เผาจริง”อย่างที่กลัวกัน
และทั้งหมดนั้นก็นำมาสู่ข้อสรุปความเห็นของผม นั่นก็คือ
ถ้าวิกฤติปี 2551 รุนแรงเท่าปี
2540 ดัชนีหุ้นในขณะนี้ก็น่าจะลงมาเกือบต่ำสุดแล้วและปีหน้าก็อาจจะนิ่ง
ๆ แต่ปี2553 ก็น่าจะให้ผลตอบแทนงดงาม แต่ถ้าข้อเท็จจริงก็คือ วิกฤติครั้งนี้เราอยู่ในสถานะที่ดีกว่าปี 2540
มากอย่างที่ผมเชื่อ
ซึ่งความจริงนี้จะค่อย ๆ
ปรากฏในปีหน้าที่มีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นระยะ
ๆ ดัชนีหุ้นไทยก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นมากและอาจจะเริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ดังนั้น
ในความรู้สึกของผมก็คือ
การลงทุนในตลาดหุ้นเวลานี้
โอกาสได้มีมากกว่าเสีย
และอาจจะถือว่าเป็นโอกาสทองยิ่งกว่าครั้งปี 2540 โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเงิน “เย็น ๆ” อยู่ในมือ
3 พฤศจิกายน
2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น