ในยามเศรษฐกิจวิกฤตินั้น
การซื้อขายหุ้นน่าจะต้องมีความแตกต่างจากการลงทุนในภาวะปกติอยู่บ้าง
ต่อไปนี้คือแนวทางที่ผมคิดว่าควรจะนำไปพิจารณาถ้าคิดจะซื้อหุ้นในยามนี้
ข้อแรก
บริษัทหรือกิจการที่เราจะลงทุนนั้น
เราจะต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ “เจ๊ง“ หรือล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนมากมายเพื่อที่จะกู้ฐานะของกิจการ นี่เป็นกฏที่สำคัญ เพราะในยามวิกฤตินั้น สิ่ง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่กิจการขาดสภาพคล่องและต้องเลิกกิจการหรือต้องมี
การเพิ่มทุนที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมมีมูลค่าลดลงมาก และถ้าเราซื้อหุ้นไปแล้วเกิดสถานการณ์อย่างนั้น ความเสียหายก็จะมหาศาล
ข้อสอง
วิธีที่จะทำให้เราปลอดภัยในการซื้อหุ้นลงทุน นั่นคือ
ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วหุ้นจะตกลงไปและเราก็กระวนกระวายใจไม่รู้ว่ามันจะกลับขึ้นมาเมื่อไรก็คือ ต้องมองว่าอนาคตโดยเฉพาะในปีนี้หรือปีหน้า กำไรของบริษัทจะต้องไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือลดลงมาก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปยาก เผลอ ๆ
จะลดลงไปอีก
และกว่าจะฟื้นได้ก็อาจจะใช้เวลานาน
ดังนั้น ถ้าจะซื้อหุ้นแบบนี้ เราก็น่าจะรอไว้ก่อนได้ รอจนกว่าจะ
“เห็นแสงที่ปลายอุโมง“ ก่อนจะดีกว่า
ข้อสาม
ในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามาก
หุ้นจำนวนมากกลายเป็นหุ้น Value ซึ่งรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี มีความเข้มแข็งสูง ดังนั้น
ความจำเป็นที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ค่อยได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของกิจการจึงมีน้อย เช่นเดียวกัน
การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ นั้น
ความเสี่ยงย่อมจะต่ำกว่าหุ้นขนาดเล็ก
ทั้งในเรื่องของผลประกอบการของกิจการเองและในเรื่องสภาพคล่องของหุ้น พูดกันชัด ๆ
ก็คือ
ถ้าซื้อหุ้นขนาดเล็กแล้วพลาด
ความเสียหายบางทีจะสูงมาก
เพราะเวลาขายจะหาคนซื้อยากและราคาก็จะตกลงมากกว่าปกติ นอกจากนั้น
ในเวลาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว
หุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะปรับตัวขึ้นก่อน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในยามวิกฤติแบบนี้ก็คงจะมีมากมาย
ผมเองลองนึกดูก็พอจะบอกได้สามสี่กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี
Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง ข้อสังเกตก็คือ บริษัทในกลุ่มนี้จะมีกำไรต่อเนื่องมานาน อย่างไรก็ตาม
ในยามวิกฤติ ยอดขายอาจจะตกลงไปมากทำให้กำไรลดลงมากหรืออาจจะขาดทุน นี่ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก
แต่ถ้าเรามั่นใจว่าในอนาคตเศรษฐกิจจะต้องฟื้นและยอดขายของกิจการก็จะกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิม และกำไรก็น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ แบบนี้
เราก็สามารถที่จะเก็บหุ้นลงทุนได้
โดยที่ราคาหุ้นที่เราจะซื้อนั้น
อย่าง
น้อยควรจะเท่ากับหรือต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นของบริษัทก่อนที่จะเกิด วิกฤติ
เมื่อซื้อแล้วก็รอจนกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและยอดขายของกิจการฟื้นตัว โดยที่กระบวนการนี้เราคาดว่าไม่น่าเกิน 4 -5 ปี
ซึ่งก็ยังคุ้มค่า เพราะการลงทุน 5
ปีแล้วราคาหุ้นขึ้นมาได้หนึ่งเท่าตัวนั้น
เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 15%
กลุ่มที่สอง
นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก นี่คือหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super
Company บริษัทในกลุ่มนี้เป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืน มียอดขายและกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนาน สินค้าทดแทนมีน้อยหรือไม่มี ข้อสังเกตของกิจการในกลุ่มนี้ก็คือ แม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ยอดขายก็ไม่ลดลงหรือยังเพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับกำไรที่มักจะยังรักษาอยู่ได้หรือเพิ่มขึ้น และทั้งสองอย่างนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากรายการที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องของการลงบัญชีหรือเป็นกำไรที่เกิดจากการขายในอดีต ถ้าเป็นแบบนี้
และราคาหุ้นตกลงมาหรือไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่มันควรเป็น การซื้อหุ้นแบบนี้ก็คือ โอกาสในการซื้อหุ้น Super Stock ในราคาถูกหรือราคายุติธรรม ซึ่งก็จะเป็นแนวการลงทุนแบบที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบใช้
กลุ่มที่สามที่ผมจะพูดถึงก็คือ การเล่นหุ้น
Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์ นี่จะเป็นการลงทุนประเภท High Risk, High Return หรือเล่นแบบกล้าได้กล้าเสีย
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสู่งแต่ก็คาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ แนวความคิดนี้ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลงมามากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
นั่นทำให้บริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน ปิโตรเคมี
ต้องขาดทุนกันอย่างหนัก
ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตกลงมามาก
แต่ราคาโภคคภัณฑ์เหล่านั้นเราเห็นว่าเริ่มอยู่ตัวแล้ว ในอนาคต
โดยเฉพาะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว
ราคาสินค้ามีแต่จะปรับตัวขึ้น
และเมื่อนั้น
บริษัทก็จะกลับมาทำกำไรได้อย่างงดงาม
และในกรณีที่ราคาสินค้าไม่ปรับตัวขึ้นเราก็ยังเห็นว่าบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้ ในสถานการณ์แบบนี้
และราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นก่อนวิกฤติ
การซื้อหุ้นไว้ก็อาจจะทำให้เราสามารถทำกำไรรได้อย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม
ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ในกรณีที่ราคาโภคภัณฑ์อาจจะลดลงไปได้อีกเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนใกล้วิกฤติ ดังนั้น
การวิเคราะห์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการลงทุนลง
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของกลยุทธ์ในการมองหาโอกาสจากวิกฤติ ซึ่งถ้าทำดี ๆ
เราก็จะได้เงินมากและเร็วกว่าในภาวะปกติ
ความเสี่ยงนั้นมีแน่
แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ
ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี
ดังนั้น คนที่จะลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้จะต้องเข้าใจและทำใจให้ได้
18 พฤษภาคม
2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น