วิกฤติตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรอบนี้น่าจะทำให้ Value Investor จำนวนมากเสียกำลังใจไปไม่น้อย
หลายคนก็แทบจะฝันสลายหลังจากที่เคยทำกำไรมาได้มากมายจนคิดว่าตนจะร่ำรวยมากในเวลาไม่นาน แต่ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งเสียกำลังใจ วิกฤติรอบนี้อาจจะเป็นแค่การหยุดหรือชะงักไปชั่วคราวจากการเดินทางไปสู่เป้าหมายของเราที่จะเป็นอิสระทางการเงินหรือร่ำรวยมากในอนาคต
ลองตรึกตรองดูว่าสถานะของเราเป็นอย่างไรในปัจจุบันและเราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรในอนาคต
อย่ามองกลับไปยังอดีตที่เราแก้อะไรไม่ได้
ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังมี
“อนาคต”
อีกมาก
และที่ผมพูดถึง “อนาคต” นั้น ผมหมายถึง
“ทรัพยากร”
ต่าง ๆ ที่เรายังมีอยู่ที่จะนำมาสร้าง “อนาคต” อย่างที่เราฝันหรือตั้งความหวังไว้ได้
ผมเคยพูดไว้ต่างกรรมต่างวาระมาหลายครั้งว่า การที่เราจะมีความมั่งคั่งมากหรือน้อยในชีวิตนั้น ขึ้นอยู่กับทรัพยากรหลัก 3
อย่างที่เรามีอยู่
หนึ่งก็คือ
เงินเริ่มต้นและเงินที่เราจะได้มาเพิ่มเติมจากการเก็บออมที่เหลือจากน้ำพักน้ำแรงหลังหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวตลอดชีวิต สำหรับคนที่อายุยังน้อย เงินเริ่มต้นนั้นมักจะมีน้อยหรือเป็นศูนย์ แต่เงินที่จะได้มาเพิ่มเติมจากการทำงานจะมีมากขึ้นเรื่อย
ๆ เดือนแล้วเดือนเล่าปีแล้วปีเล่า
ถ้าเรารู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัดและคุ้มค่าเงินแบบที่ Value
Investor มักจะเป็น
เงินส่วนนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น
สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ร่ำรวยแล้ว
วิธีที่จะทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่ร่ำรวยได้ทางหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าหยุดทำงานและเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ยิ่งทำงานนานมาก
เงินเดือนหรือรายได้จากการทำงานก็ยิ่งมากตามประสบการณ์
ทรัพยากรอย่างที่สองก็คือ
เวลาของการลงทุน นี่เป็นทรัพยากรที่ทุกคนมีอยู่แต่ไม่เท่ากัน คนที่อายุยังน้อย เช่น
คนที่จบมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานพร้อมกับเริ่มการลงทุน เขาจะมีเวลาถึงเกือบ 40
ปีกว่าที่จะเกษียณอายุและอาจจะมากถึง
60 ปี ก่อนที่จะตายหรือหมดความสามารถในการลงทุน ดังนั้น
ในโลกของการลงทุนและการสร้างความมั่งคั่งในชีวิต คนหนุ่มสาวจะได้เปรียบคนอายุมากมหาศาล
และถ้าคนเหล่านั้นใช้เวลาที่เป็นทรัพยากรสำคัญนั้นกับการลงทุน เขาก็จะสามารถสร้างความร่ำรวยได้ไม่ยาก เพราะเวลา
50 ปีนั้น ถ้าได้ลงทุนและทำผลตอบแทนได้ปีละ 10%
ทบต้นโดยเฉลี่ยก็จะสามารถทำให้เงินเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 100
เท่า ดังนั้น สำหรับคนหนุ่มสาวที่มุ่งมั่น
โอกาสที่เขาจะร่ำรวยมีเงินเป็นร้อยล้านบาทก่อนตายนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเลย ประเด็นสำคัญก็คือ ต้องมีเงินเก็บและต้องลงทุนให้ยาวหรือตลอดเวลา
ทรัพยากรอย่างที่สามก็คือ
ฝีมือในการลงทุน
นี่คือความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและภาวะอารมณ์ที่ถูกต้อง
นี่คือสิ่งที่ต้องศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยทั่วไป
ถ้าเราไม่มีฝีมือเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปและยอมรับมัน
อีกทั้งยังกลัวเรื่องความผันผวนของผลตอบแทนหรือกลัวการ “ขาดทุน” มาก
เราก็จะต้องลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงไปในทรัพย์สินหรือหลักทรัพย์หลาย
ๆ อย่าง ทั้งหุ้น พันธบัตร
เงินฝาก และทรัพย์สินอื่น ๆ
อีกมาก แบบนี้ ผมคิดว่าเราคงได้ผลตอบแทนประมาณ 5%
ต่อปีโดยเฉลี่ย
ถ้าเราไม่มีฝีมือในการเลือกหุ้นลงทุนแต่เราเชื่อมั่นในผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นว่าจะดีกว่าหลักทรัพย์อย่างอื่น
เราก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมหุ้นโดยเฉพาะที่อิงกับดัชนี แบบนี้
เราก็น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ
7-8% ต่อปี แต่ถ้าเรามีความรู้เกี่ยวกับหุ้นบ้าง เรา
ก็อาจจะสามารถสร้างพอร์ตโฟลิโอที่เลียนแบบใกล้เคียงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและค่าบริหารจัดการให้กับบริษัทจัดการกองทุน
รวม แบบนี้ เราอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณ 10%
ต่อปีโดยเฉลี่ย ทั้งสองกรณี เราจะต้องมีความอดทนพอที่จะถือหุ้นตลอดเวลาแม้ว่าในบางช่วงหุ้นอาจจะตกลงมาถึงครึ่งหนึ่ง
ถ้าเรามีความสามารถสูงพอสมควร และมีความมุ่งมั่นเป็น Value Investor เราอาจจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ถึง 12-15 %
ต่อปีโดยเฉลี่ย
จากการลงทุนในหุ้น
และถ้าทำได้ผมเชื่อว่าเขาจะต้องเป็นคนรวยหรือเศรษฐีอย่างแน่นอนถ้าเขามีเวลาเป็น
40-50 ปีในการลงทุน
เพราะในระยะยาวแล้ว
ความแตกต่างระหว่างผลตอบแทน
5% กับ 10%
หรือ 15% ต่อปีก็คือ
ในเวลา 50 ปีนั้น ถ้าได้ผลตอบแทน 5%
ต่อปี เงินจะโตขึ้นเพียง 10 เท่า
ถ้า 10% เงินจะโตขึ้น
100 เท่า และถ้าเป็น 15%
เงินจะโตขึ้นเป็น 1,000 เท่า
ดังนั้น
สำหรับคนที่กำลังเสียกำลังใจจากการขาดทุนในหุ้นรอบนี้ ผมแนะนำว่า
ลองมาตรวจสอบดูว่าเรายังมีทรัพยากรเหลืออยู่เท่าไรอย่างใด สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทุกครั้งที่เริ่มต้นปีใหม่ เราควร
“นับหนึ่ง” ใหม่และมองไปข้างหน้า เริ่มตั้งแต่เม็ดเงิน “เริ่มต้น” ว่าเป็นเท่าไรหรือจริง ๆ
ก็คือเหลือเท่าไรหลังจากที่มันตกลงมาอย่างแรงในปีที่ผ่านมา
หลังจากนั้นก็มาดูปีของการลงทุนที่เรามีอยู่ ในกรณีที่เราตั้งเป้าหมายหลักไมล์ในชีวิตเช่นจะมีเงินถึงสิบล้านหรือร้อยล้านบาทเมื่ออายุเท่าไร ในกรณีนี้
ถ้าพอร์ตของเราลดลงไป 30%
เป้าหมายอายุที่เราจะไปถึงก็อาจต้องเลื่อนไป 3-4 ปี เป็นต้น เช่นเดียวกัน ในส่วนของผลตอบแทนในอนาคตที่เราจะทำได้
เราก็ต้องประเมินใหม่โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ผ่านมาและบทเรียนที่เราได้รับจากวิกฤติ เป็นไปได้ว่าผลตอบแทนนับจากปีนี้ไปน่าจะดีกว่าช่วงที่ผ่านมาเร็ว
ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม
ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน 15%
ต่อปีในช่วง 4-5 ข้างหน้า
เมื่อกำหนดเป้าหมายใหม่หมดแล้ว
เราก็อาจจะพบว่ามันอาจจะแตกต่างจากเดิมไม่มากนักหรือถึงจะมากแต่เราก็ยังสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญเช่น การเป็นอิสระทางการเงิน
ได้ในช่วงเวลาที่ไม่สายจนเกินไป
และเมื่อเราพบความจริงอย่างนั้นแล้ว
เราก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นและมั่นใจในการที่จะ “เดินทางต่อไป” ว่าที่จริง
สำหรับคนที่ยังอายุน้อยหรือยังไม่เกินสี่สิบปีโอกาสที่เขาจะ “แก้ตัว” มีอยู่เสมอ เพราะ
เวลา นั้น คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน
19 มกราคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น