วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มองไปข้างหน้า


วิกฤติตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรอบนี้น่าจะทำให้  Value Investor จำนวนมากเสียกำลังใจไปไม่น้อย   หลายคนก็แทบจะฝันสลายหลังจากที่เคยทำกำไรมาได้มากมายจนคิดว่าตนจะร่ำรวยมากในเวลาไม่นาน    แต่ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งเสียกำลังใจ   วิกฤติรอบนี้อาจจะเป็นแค่การหยุดหรือชะงักไปชั่วคราวจากการเดินทางไปสู่เป้าหมายของเราที่จะเป็นอิสระทางการเงินหรือร่ำรวยมากในอนาคต    ลองตรึกตรองดูว่าสถานะของเราเป็นอย่างไรในปัจจุบันและเราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรในอนาคต    อย่ามองกลับไปยังอดีตที่เราแก้อะไรไม่ได้   ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังมี     อนาคต  อีกมาก    และที่ผมพูดถึง อนาคต  นั้น   ผมหมายถึง  ทรัพยากร  ต่าง    ที่เรายังมีอยู่ที่จะนำมาสร้าง  อนาคต  อย่างที่เราฝันหรือตั้งความหวังไว้ได้

ผมเคยพูดไว้ต่างกรรมต่างวาระมาหลายครั้งว่า   การที่เราจะมีความมั่งคั่งมากหรือน้อยในชีวิตนั้น  ขึ้นอยู่กับทรัพยากรหลัก  3  อย่างที่เรามีอยู่   หนึ่งก็คือ  เงินเริ่มต้นและเงินที่เราจะได้มาเพิ่มเติมจากการเก็บออมที่เหลือจากน้ำพักน้ำแรงหลังหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวตลอดชีวิต    สำหรับคนที่อายุยังน้อย    เงินเริ่มต้นนั้นมักจะมีน้อยหรือเป็นศูนย์    แต่เงินที่จะได้มาเพิ่มเติมจากการทำงานจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ  เดือนแล้วเดือนเล่าปีแล้วปีเล่า   ถ้าเรารู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัดและคุ้มค่าเงินแบบที่ Value Investor มักจะเป็น   เงินส่วนนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ   ดังนั้น  สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ร่ำรวยแล้ว   วิธีที่จะทำให้ตนเองกลายเป็นคนที่ร่ำรวยได้ทางหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ   อย่าหยุดทำงานและเก็บเงินให้ได้มากที่สุด  ยิ่งทำงานนานมาก   เงินเดือนหรือรายได้จากการทำงานก็ยิ่งมากตามประสบการณ์

ทรัพยากรอย่างที่สองก็คือ  เวลาของการลงทุน  นี่เป็นทรัพยากรที่ทุกคนมีอยู่แต่ไม่เท่ากัน   คนที่อายุยังน้อย   เช่น  คนที่จบมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานพร้อมกับเริ่มการลงทุน   เขาจะมีเวลาถึงเกือบ  40  ปีกว่าที่จะเกษียณอายุและอาจจะมากถึง  60  ปี ก่อนที่จะตายหรือหมดความสามารถในการลงทุน   ดังนั้น   ในโลกของการลงทุนและการสร้างความมั่งคั่งในชีวิต   คนหนุ่มสาวจะได้เปรียบคนอายุมากมหาศาล   และถ้าคนเหล่านั้นใช้เวลาที่เป็นทรัพยากรสำคัญนั้นกับการลงทุน   เขาก็จะสามารถสร้างความร่ำรวยได้ไม่ยาก  เพราะเวลา  50  ปีนั้น  ถ้าได้ลงทุนและทำผลตอบแทนได้ปีละ 10% ทบต้นโดยเฉลี่ยก็จะสามารถทำให้เงินเพิ่มขึ้นได้ประมาณ  100  เท่า   ดังนั้น  สำหรับคนหนุ่มสาวที่มุ่งมั่น  โอกาสที่เขาจะร่ำรวยมีเงินเป็นร้อยล้านบาทก่อนตายนั้น   เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเลย   ประเด็นสำคัญก็คือ  ต้องมีเงินเก็บและต้องลงทุนให้ยาวหรือตลอดเวลา

ทรัพยากรอย่างที่สามก็คือ   ฝีมือในการลงทุน  นี่คือความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและภาวะอารมณ์ที่ถูกต้อง   นี่คือสิ่งที่ต้องศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้จากประสบการณ์   โดยทั่วไป  ถ้าเราไม่มีฝีมือเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปและยอมรับมัน   อีกทั้งยังกลัวเรื่องความผันผวนของผลตอบแทนหรือกลัวการ  ขาดทุน  มาก  เราก็จะต้องลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงไปในทรัพย์สินหรือหลักทรัพย์หลาย ๆ  อย่าง ทั้งหุ้น  พันธบัตร  เงินฝาก และทรัพย์สินอื่น ๆ  อีกมาก   แบบนี้   ผมคิดว่าเราคงได้ผลตอบแทนประมาณ  5%  ต่อปีโดยเฉลี่ย

ถ้าเราไม่มีฝีมือในการเลือกหุ้นลงทุนแต่เราเชื่อมั่นในผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นว่าจะดีกว่าหลักทรัพย์อย่างอื่น   เราก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมหุ้นโดยเฉพาะที่อิงกับดัชนี  แบบนี้  เราก็น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ  7-8%  ต่อปี  แต่ถ้าเรามีความรู้เกี่ยวกับหุ้นบ้าง   เรา ก็อาจจะสามารถสร้างพอร์ตโฟลิโอที่เลียนแบบใกล้เคียงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและค่าบริหารจัดการให้กับบริษัทจัดการกองทุน รวม  แบบนี้  เราอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณ  10%  ต่อปีโดยเฉลี่ย   ทั้งสองกรณี   เราจะต้องมีความอดทนพอที่จะถือหุ้นตลอดเวลาแม้ว่าในบางช่วงหุ้นอาจจะตกลงมาถึงครึ่งหนึ่ง  

ถ้าเรามีความสามารถสูงพอสมควร   และมีความมุ่งมั่นเป็น  Value Investor เราอาจจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ถึง  12-15 %  ต่อปีโดยเฉลี่ย  จากการลงทุนในหุ้น   และถ้าทำได้ผมเชื่อว่าเขาจะต้องเป็นคนรวยหรือเศรษฐีอย่างแน่นอนถ้าเขามีเวลาเป็น 40-50 ปีในการลงทุน   เพราะในระยะยาวแล้ว  ความแตกต่างระหว่างผลตอบแทน  5%  กับ  10%  หรือ  15%  ต่อปีก็คือ  ในเวลา  50 ปีนั้น   ถ้าได้ผลตอบแทน  5%  ต่อปี  เงินจะโตขึ้นเพียง  10 เท่า   ถ้า  10%  เงินจะโตขึ้น  100 เท่า  และถ้าเป็น  15%  เงินจะโตขึ้นเป็น  1,000  เท่า
ดังนั้น  สำหรับคนที่กำลังเสียกำลังใจจากการขาดทุนในหุ้นรอบนี้    ผมแนะนำว่า   ลองมาตรวจสอบดูว่าเรายังมีทรัพยากรเหลืออยู่เท่าไรอย่างใด    สิ่งที่เราควรทำก็คือ   ทุกครั้งที่เริ่มต้นปีใหม่   เราควร  นับหนึ่ง  ใหม่และมองไปข้างหน้า    เริ่มตั้งแต่เม็ดเงิน  เริ่มต้น  ว่าเป็นเท่าไรหรือจริง ๆ   ก็คือเหลือเท่าไรหลังจากที่มันตกลงมาอย่างแรงในปีที่ผ่านมา   หลังจากนั้นก็มาดูปีของการลงทุนที่เรามีอยู่   ในกรณีที่เราตั้งเป้าหมายหลักไมล์ในชีวิตเช่นจะมีเงินถึงสิบล้านหรือร้อยล้านบาทเมื่ออายุเท่าไร   ในกรณีนี้  ถ้าพอร์ตของเราลดลงไป 30%  เป้าหมายอายุที่เราจะไปถึงก็อาจต้องเลื่อนไป 3-4 ปี เป็นต้น    เช่นเดียวกัน  ในส่วนของผลตอบแทนในอนาคตที่เราจะทำได้  เราก็ต้องประเมินใหม่โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ผ่านมาและบทเรียนที่เราได้รับจากวิกฤติ   เป็นไปได้ว่าผลตอบแทนนับจากปีนี้ไปน่าจะดีกว่าช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ  นี้   อย่างไรก็ตาม   ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน  15% ต่อปีในช่วง 4-5 ข้างหน้า

เมื่อกำหนดเป้าหมายใหม่หมดแล้ว   เราก็อาจจะพบว่ามันอาจจะแตกต่างจากเดิมไม่มากนักหรือถึงจะมากแต่เราก็ยังสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญเช่น  การเป็นอิสระทางการเงิน ได้ในช่วงเวลาที่ไม่สายจนเกินไป   และเมื่อเราพบความจริงอย่างนั้นแล้ว   เราก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นและมั่นใจในการที่จะ  เดินทางต่อไป    ว่าที่จริง   สำหรับคนที่ยังอายุน้อยหรือยังไม่เกินสี่สิบปีโอกาสที่เขาจะ  แก้ตัว  มีอยู่เสมอ  เพราะ  เวลา  นั้น  คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน   

19  มกราคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น