วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวเดินทาง


ในยามที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างหนัก  ประกอบกับภาวะการเมืองในประเทศที่มีความขัดแย้งรุนแรง   อุตสาหกรรมที่ถูกกระทบรุนแรงที่สุดอย่างหนึ่งดูเหมือนว่าจะเป็น  การท่องเที่ยว  มาดูกันว่าหุ้นกลุ่มไหนและตัวไหนโดน  แจ็คพ้อต  และเราควรที่จะ  หนี  หรือ  สู้

หุ้นกลุ่มที่ถูกกระทบอย่างชัดเจนนั้น   แน่นอนก็คือ  กลุ่มโรงแรม  หุ้นตัวที่ถูกกระทบไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ  หุ้นการบินไทย /images/emoticons/mozilla_yell.gifTHAI) และหุ้นท่าอากาศยานไทย /images/emoticons/mozilla_yell.gifAOT)  ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ราคาหุ้นทั้งหมดนั้นตกต่ำลงมามหาศาล  ราคาหุ้นส่วนใหญ่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีของบริษัท   ว่าที่จริงจำนวนมากมีราคาหุ้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่าทางบัญชี   และถ้าจะพูดต่อไปอีกก็อาจจะบอกได้ว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีของบริษัทเหล่านั้นก็ค่อนข้างต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่แล้ว   เนื่องจากทรัพย์สินที่บริษัทซื้อมา   เช่นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างก็มักเป็นราคาเดิมที่ซื้อมานานในราคาที่ค่อนข้างต่ำ    ดังนั้น  ข้อสรุปก็คือ  ราคาหุ้นของกิจการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวดังกล่าวมีราคาที่ต่ำสุด ๆ    และนี่อาจจะเป็นโอกาสสำคัญในการลงทุนหรือไม่?

ผมคงตอบคำถามนั้นไม่ได้   แต่อยากจะอธิบายถึงคุณลักษณะหรือธรรมชาติของกิจการดังกล่าวว่าพฤติกรรมของการดำเนินงานจะเป็นอย่างไรในสถานการณ์ต่าง      เริ่มตั้งแต่ข้อแรกก็คือ  มันเป็นกิจการที่จะต้องลงทุนในตอนเริ่มแรกสูงมาก   การสร้างโรงแรมแต่ละแห่งต้องใช้เงินเป็นพันล้านบาท   การซื้อเครื่องบินแต่ละเครื่องนั้นเฉลี่ยลำละหลายพันล้าน  การสร้างสนามบินนั้นต้องใช้เงินหลายหมื่นหรือเป็นแสนล้านบาท   ดังนั้น  ทุกปี  บริษัทก็จะมีต้นทุนการดำเนินงานที่เป็นค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินจำนวนมากไม่ว่าจะมีการใช้ทรัพย์สินนั้นมากหรือน้อยแค่ไหน   นี่เป็นต้นทุนคงที่หรือตายตัว

ข้อสองก็คือ   ต้นทุนในการให้บริการกับลูกค้าหรือผู้ใช้บริการนั้นมักจะไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับ   ส่วนใหญ่ก็จะเป็นค่าน้ำค่าไฟ   ค่าพลังงาน   และก็เงินเดือนของพนักงาน   ดังนั้น  มาร์จินหรือส่วนต่างรายได้กับรายจ่ายที่บริษัทต้องควักกระเป๋าสำหรับลูกค้าแต่ละรายจะค่อนข้างสูง   อย่างในกรณีของโรงแรมนั้น   หลายแห่งกำไรครึ่งต่อครึ่งสำหรับลูกค้าแต่ละราย    หรืออย่างในกรณีของสนามบินนั้น  รายได้ค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินของผู้เดินทางนั้นมีต้นทุนในการให้บริการต่อหัวน้อยมาก  ส่วนสำคัญก็อาจจะเป็นค่าพนักงานเก็บเงิน   และนี่ก็นำมาสู่ข้อสรุปในข้อที่สาม

ข้อสามที่เป็นข้อสรุปก็คือ  ธุรกิจการท่องเที่ยวเดินทางดังกล่าวนั้น  กำไรขาดทุนขึ้นอยู่กับจำนวนลูกค้าและรายได้ที่ได้รับมากกว่าธุรกิจอื่น    มาก    เหตุผลก็คือ  บริษัทเหล่านั้น  มีต้นทุนคงที่สูงมากในขณะที่ต้นทุนที่แปรผันตามจำนวนลูกค้าต่ำมาก   ลองนึกดูว่า  ต้นทุนของโรงแรมนั้นจำนวนมากอยู่ที่ค่าเสื่อมราคาและพนักงานประจำที่บริษัทต้องจ่ายเงินเดือนมากมาย   ดังนั้นไม่ว่าจะมีลูกค้าเข้าพักมากหรือน้อยต้นทุนก็ไม่ต่างกันมาก   แต่ถ้าลูกค้าเข้าพักน้อยรายได้น้อยพวกเขาจะขาดทุน   เมื่อลูกค้าเข้าพักถึงจุดหนึ่งเช่นอาจจะเป็น  50%  ก็จะเท่าทุน   แต่ถ้าลูกค้าเข้าพักมากกว่านั้นกำไรก็จะดีขึ้นและดีขึ้นมากเมื่อลูกค้าเข้าพักถึง  70% ของห้องทั้งหมด

เช่นเดียวกัน  เครื่องบินที่บินขึ้นฟ้านั้น  ไม่ว่าจะมีผู้โดยสารกี่คน   ต้นทุนก็แทบไม่ต่างกัน  แต่ถ้ามีผู้โดยสารเพียง 50%  ของที่นั่ง  รายได้ก็แค่  50%  บริษัทอาจเท่าทุน  แต่ถ้าผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 50 คนเป็น  60% ส่วนที่เพิ่มนั้นจะกลายเป็นกำไรทั้งหมด   ในกรณีของสนามบินก็ยิ่งเห็นผลกระทบแบบนี้มากขึ้นไปอีก   สรุปแล้วก็คือ  ธุรกิจการท่องเที่ยวเดินทางนั้น   จะดูว่าธุรกิจดีหรือไม่ต้องดูเรื่องของปริมาณลูกค้าและรายได้ว่าบริษัททำได้ดีแค่ไหน  และถ้าจะให้ถูกต้องขึ้นไปอีกก็คือ  ดูเรื่องเปอร์เซ็นต์ของการใช้ห้องหรือใช้ที่นั่ง   ถ้าอัตราส่วนการใช้สูง  ผลการดำเนินงานของบริษัทก็จะดีและดียิ่ง ๆ ขึ้นไปเรื่อยเป็นทวีคูณ

ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า  ในสภาวะที่นักท่องเที่ยวหดตัวลงค่อนข้างมากในช่วงเร็ว ๆ นี้   ทำให้กิจการที่เกี่ยวข้องเกิดการขาดทุนหรือกำไรลดลงมากเพราะต้นทุนส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถลดได้   นั่นทำให้ราคาหุ้นลดลงมาก    แต่ถ้าเรามองดูแล้วว่านักท่องเที่ยวที่หายไปนั้น   ในที่สุดก็จะกลับมาเมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดีขึ้นและการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น   เมื่อนั้น   กิจการที่เกี่ยวข้องก็จะดีขึ้นแบบทวีคูณ   และแน่นอน  ราคาหุ้นก็น่าจะกลับเหมือนเดิมก่อนที่มันจะตกลงไป    ดังนั้น  การเล่นหุ้นแบบนี้ก็คือ   การที่เราพนันว่า   ในที่สุดทุกอย่างก็จะคลี่คลายและนักท่องเที่ยวจะกลับมา

เช่นเคย  ผมคงไม่ตอบคำถามนี้   แต่จากความรู้สึกของผม   การท่องเที่ยวเดินทางนั้น  มันเป็นเหมือนสิ่งที่ฝังอยู่ในยีนส์ของมนุษย์   มนุษย์เกิดมาพร้อมกับการที่อยากจะเดินทางแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ     ผมมักจะได้ยินคนพูดว่า   ถ้ามีเงินเขาอยากจะเดินทางรอบโลกเพื่อที่จะไปเที่ยวเห็นสิ่งใหม่ ๆ    ตัวเลขการเดินทางท่องเที่ยวของโลกนั้นเติบโตต่อเนื่องมาตลอด   ตัวเลขของเมืองไทยเองในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็โตขึ้นโดยเฉลี่ย  ประมาณปีละ 6- 7%  โดยที่มีการสะดุดน้อยมากแม้ว่าเราจะผ่านภาวะที่  เลวร้าย  มามากมายไม่ว่าจะเป็นโรคซาร์  ไข้หวัดนก  สึนามิ  การปฏิวัติ  และอื่น ๆ  อีกมาก   คนมักจะคิดว่าครั้งนี้  ไม่เหมือนเดิม  แต่ผมเองคิดว่า   ครั้งนี้ก็คงจะเหมือนเดิม   ไม่เชื่อก็มาพนันกันไหม?                     


27  เมษายน  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น