วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทเรียนหลังวิกฤติ


ถึงขณะนี้เราน่าจะพอพูดได้แล้วว่าวิกฤติเศรษฐกิจของปี 2551 ได้สิ้นสุดลงแล้วแม้ว่าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะตกกลับลงไปอีกครั้งหนึ่งก็ยังคงมีอยู่    แต่อย่างน้อยผมคิดว่าเศรษฐกิจคงไม่เลวร้ายลงไปต่ำกว่าเดิม   อย่างมากเศรษฐกิจก็อาจจะนิ่งและหงอยเหงาไปอีกระยะหนึ่ง   ดังนั้น  ผมจึงอยากจะทบทวนดูว่าเราได้รับบทเรียนอะไรบ้างจากวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เลวร้ายมากครั้งนี้

ข้อแรกก็คือ  ความจริงที่ยังไม่เสื่อมคลายที่ว่า  ในวิกฤตินั้นมีโอกาสอยู่เสมอ  และครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น   ว่าที่จริง  ในวิกฤติครั้งนี้มีโอกาสมากมายในการทำกำไรจากตลาดหุ้น  เพราะฐานะและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากยังดีอยู่เป็นปกติในขณะที่ราคาหุ้นลดลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง   ดังนั้น  คนที่กล้าและมั่นใจในพื้นฐานของกิจการและเข้าไปช้อนซื้อหุ้นไว้จึงได้กำไรมหาศาลภายในระยะเวลาอันสั้น

ข้อสอง  บริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพดีเยี่ยมเข้าข่ายเป็น  Super Stock นั้น   มักจะสามารถทนทานต่อภาวะเลวร้ายทางเศรษฐกิจได้  ผลการดำเนินงานมักจะไม่ลดลง  บางบริษัทยังเติบโตได้  ในเวลาเดียวกัน  ฐานะทางการตลาดกลับแข็งแกร่งขึ้น  เช่นเดียวกับฐานะทางการเงินของบริษัทที่ยังมั่นคงเช่นเดิม  และด้วยเหตุนั้น  ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงน้อย   บางตัวหุ้นกลับมีราคาสูงขึ้นในขณะที่หุ้นโดยทั่วไปตกลงมาอย่างหนัก   บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า  ถ้ามีหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมแล้ว   ความจำเป็นที่จะต้องขายอย่างรีบด่วนนั้นมีน้อย

ข้อสาม  วิกฤติเศรษฐกิจนั้น  แม้ว่าจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายและรุนแรงแต่มันอยู่ไม่นาน  วิกฤติครั้งนี้พูดกันว่ารุนแรงที่สุดนับจากปี 1929 หรือเกือบ 80 ปีมาแล้ว   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ  เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกันเพียง  4  ไตรมาศ ซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวอย่าง VI จำนวนมากแล้ว  4 ไตรมาศหรือ หนึ่งปีนั้น   เป็นช่วงเวลาที่สั้นมากเมื่อเทียบกับการลงทุน  ตลอดชีวิต  ที่มักยาวเป็นหลายสิบปี   ดังนั้น  บทเรียนของวิกฤติก็คือ  เดี๋ยวมันก็จะผ่านไปอย่ากังวลกับมันมากเกินไป

ข้อสี่  คนส่วนใหญ่  รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์หุ้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าดัชนีหุ้นขึ้นถึงยอดดอยหรือตกถึงพื้นแล้ว  พวกเขาจะรู้ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว   ดังนั้น  คำว่า  ยังไม่ต้องรีบซื้อหุ้นเพราะยังไม่เห็นสัญญาณอะไรว่าเศรษฐกิจจะฟื้น  จึงเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร  เช่นเดียวกับ  คำว่า  เศรษฐกิจจะฟื้นเป็นรูปตัว W ดังนั้น  ให้ขายเดือนมิถุนายนแล้วรอไปซื้ออีกครั้งในช่วงปลายปี   กลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ   ถ้าพบหุ้นที่มีราคาถูกมาก ๆ    มี  Margin Of Safety สูง และธุรกิจจะต้องฟื้นกลับมาเป็นปกติค่อนข้างแน่หลังจากวิกฤติผ่านพ้นไป  ก็เข้าไปซื้อหุ้นเก็บไว้   แล้วรอจนราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงจนเป็นที่น่าพอใจแล้วค่อยขายจะดีกว่า

ข้อห้า  หลังจากที่หุ้นตกลงไปมากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น  หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นอย่างแรงภายในระยะเวลาไม่นาน   แต่ว่าการปรับตัวขึ้นจะไม่ถึงระดับเดิมก่อนที่มันจะตกลงมา   ในช่วงที่หุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว    ความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับลงมาอย่างแรงอีกครั้งหนึ่งนั้นจะมีสูง   อย่างไรก็ตาม  ไม่มีใครรู้ว่าดัชนีระดับไหนจะเป็นจุดปรับตัว    และเมื่อปรับตัวลงมาจะปรับลงมาเท่าไร   เพราะนั่นมักจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในอนาคต   ดังนั้น  จงเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับกับการปรับตัวแรงหลังจากที่หุ้นขึ้นไปมากหลังวิกฤติ

ข้อหก  ในยามที่เกิดวิกฤติขึ้น   นักลงทุนที่  เจ็บหนัก  ที่สุด  ก็คือคนที่ลงทุนซื้อหุ้นด้วยมาร์จินโดยเฉพาะอย่างยิ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก   เพราะในยามที่เกิดวิกฤติ   ราคาหุ้นจะลดลงมาเร็วมากจนทำให้หลักประกันที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับหนี้มาร์จินทำให้ถูกโบรกเกอร์บังคับขายหุ้นในตลาดซึ่งทำให้ราคาหุ้นลดลงไปอีก  กระบวนการนี้ทำให้เราต้องขายหุ้นในเวลาที่เลวร้ายและมักได้ราคาต่ำที่สุด   ตรงกันข้าม  หลังจากที่ดัชนีตกลงไปต่ำมากเนื่องจากภาวะวิกฤติ   การลงทุนซื้อหุ้นด้วยมาร์จิน  โดยเฉพาะที่เป็นการซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาที่ต่ำมากนั้นจะมีอันตรายน้อย   โอกาสที่จะถูกบังคับขายมีน้อยในขณะที่หุ้นมักให้ปันผลที่คุ้มค่ากับดอกเบี้ยของหนี้มาร์จิน  เหนือสิ่งอื่นใด   การลงทุนในยามที่ดัชนีหุ้นเลวร้ายมาก ๆ  นั้น  มักให้ผลที่คุ้มค่าเมื่อเวลาผ่านไป

สุดท้ายสำหรับบทเรียนหลังวิกฤติก็คือ  วิกฤตินั้นเกิดขึ้นบ่อยพอสมควร  การเกิดขึ้นแต่ละครั้งมักกระทบกับพอร์ตโฟลิโอรุนแรงและทำลายผลตอบแทนระยะยาวของ VI ที่มักจะถือหุ้นตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา   ดังนั้น  เราควรที่จะต้องทบทวนดูอยู่เสมอว่าหุ้นที่ประกอบเป็นพอร์ตของเรานั้น   มีความแข็งแกร่งสามารถทนทานต่อภาวะวิกฤติได้มากน้อยแค่ไหน   ความเห็นของผมก็คือ  พอร์ตหุ้นที่ดีนั้น   จะต้องรักษามูลค่าของมันได้ค่อนข้างมาก   นั่นคือ  เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น  มูลค่าของมันไม่ควรจะตกลงไปเกิน 30% ในเกือบจะทุกสถานการณ์   และถ้าเรามีพอร์ตแบบนี้แล้ว  ในระยะยาวเราจะปลอดภัยและพอร์ตจะเติบโตไปได้ต่อเนื่องยาวนาน   ผลตอบแทนเฉลี่ยจะดีกว่าตลาดและอยู่ในระดับที่น่าพอใจในขณะที่ความเสี่ยงจะน้อย   และถ้าเราทำไปถึงจุดหนึ่งและผ่านภาวะวิกฤติมาหลายครั้งเราจะไม่รู้สึกวิตกกับภาวะวิกฤติเลย   ว่าที่จริง  บางครั้งเราอาจจะรู้สึกด้วยว่า   วิกฤตินั้นบางทีก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการทำกำไรด้วยซ้ำ

17  ตุลาคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น