วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แล้วมันก็จะผ่านไป


เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีผลกระทบในทางลบต่อตลาดหุ้นหรือที่คนคิดว่ามีผล กระทบทางลบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรงนั้น   เกิดขึ้นเป็นประจำ  พูดได้ว่าทุก 3-4  ปีหรือน้อยกว่านั้นประเทศไทยหรือไม่ก็โลกจะต้องประสบกับ  วิกฤติบางอย่างที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย อย่างแรง    ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น   นักลงทุนก็มักจะรู้สึกว่าเหตุการณ์  ครั้งนี้  รุนแรงมากกว่าที่เคยผ่านมา   ถ้าแก้ไขไม่ได้  บ้านเมืองและเศรษฐกิจอาจจะล่มสลาย   แต่เมื่อเวลาผ่านไป   เรื่องที่  วิกฤติร้ายแรง   นั้นก็ผ่านพ้นไปโดยที่บ้านเมืองไม่ได้ล่มสลาย   เศรษฐกิจก็เติบโตต่อไป  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ยังอยู่และดัชนีหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น  บางครั้งรุนแรง   เพื่อที่จะตกกลับลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้งเมื่อวิกฤติคราวหน้ามาถึง   ตลาดหุ้นก็เป็นเช่นนี้   ลองมาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญมาและก็ผ่านมาได้และเราอาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเรา  กลัวแทบตาย

 ผมคงมองย้อนหลังไปถึงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ตลาดหุ้นไทยเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หน่อยและผมเริ่มเข้ามาทำงานในตลาดการ เงินแล้ว   นั่นก็คือ  เหตุการณ์  Black Monday หรือวันจันทร์ทมิฬ    นี่คือเหตุการณ์ที่น่าจะเรียกว่าเกิดจากปัญหา   ทางเทคนิค   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คและกระทบมาถึงตลาดหุ้นไทย      เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุด ๆ  และไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรที่จะทำให้ตลาดหุ้นตกอย่างหนักยกเว้นแต่ว่า อาจจะมีนักลงทุนหรือผู้ดูแลภาวะเศรษฐกิจภาพรวมที่กลัวว่าตลาดจะอยู่ในภาวะ  ฟองสบู่   จึงพยายามที่จะลดความร้อนแรงนั้น   ในขณะเดียวกัน  นักลงทุนที่ระมัดระวังกันอยู่แล้วก็มีการติดตั้งระบบการซื้อขายหุ้นแบบ  อัตโนมัติ   หรือที่เรียกว่า  Program Trading  ที่จะสั่งขายหุ้นได้ทันทีถ้าหุ้นตกถึงระดับหนึ่ง   และเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงถึงจุดนั้น  ระบบก็เริ่มทำงานและการขายหุ้นก็เกิดขึ้นต่อเนื่องทำให้หุ้นตกลงมาเป็น ประวัติการณ์   แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ตลาดหุ้นไทยซึ่งยังไม่ได้เปิดเสรีให้กับนักลงทุนต่างประเทศและไม่ได้มี Program อะไรทั้งนั้น  ก็ตกลงไปมหาศาลพอ ๆ  กันด้วย  นั่นคือเหตุการณ์ในปี  2530

 หลังจาก  Black Monday ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปเร็วและแรงมากเป็นเวลา 3 ปีจนถึงปี 2533  ก็เกิดเหตุการณ์   สงครามอ่าวเปอร์เซียที่อิรักบุกเข้ายึดคูเวตซึ่งเป็นเหตุการณ์  ช็อกโลก  เพราะนี่คือแหล่งน้ำมันซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญที่สุดของโลก  ตลาดหุ้น  แน่นอน  ตกลงมาอย่างหนัก   แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมา  สหรัฐอเมริกากับพันธมิตรก็สามารถยึดคูเวตคืนมาได้หุ้นจึงปรับตัวขึ้นไปและ เราก็ผ่าน  วิกฤติ  สงครามอ่าวมาได้ในเวลาอันสั้นเพื่อที่จะเผชิญกับ   สงคราม  ที่เกิดในประเทศไทยในอีก 2  ปีต่อมา

 ในปี  2535  ผู้นำของกลุ่มทหารที่ทำการปฏิวัติที่เรียกว่า  รสช. หรือถ้าผมจำไม่ผิดมาจากคำว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ   ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากมีการเลือกตั้ง    เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดการประท้วงของประชาชนและทหารได้เข้าปราบปรามจนเกิด การเสียเลือดเนื้อและชีวิตจำนวนมากที่ต่อมาเรียกว่า   เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ   แต่วิกฤติครั้งนี้   เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนไม่มากนักและเกิดในเวลาอันสั้นจึงกระทบกับตลาดหุ้น ไม่มากนัก    และหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านพ้นไป   ตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อันเป็นผลจากการที่ เศรษฐกิจไทยเติบโตสุดขีดโตปีละกว่า  10 % ติดต่อกันหลายปี  ทำให้ดัชนีสูงถึง 1753 จุด  ก่อนที่จะประสบกับวิกฤติรอบใหม่  คิดแล้วช่วงเวลาระหว่างวิกฤติรอบนี้กินเวลา 3 ปี ก่อน ที่จะเกิดวิกฤติรอบใหม่

 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดจากการเงินของต่าง ประเทศที่เกิดขึ้นในปี  2538   ซึ่งมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน   เหตุการณ์แรกคือเรื่องของการลดค่าเงินเปโซลงมาเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นการ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจเม็กซิโก   แต่เหตุการณ์ที่ประทับใจรุนแรงกว่าก็คือการล้มของแบริงซีเคียวริตี้ที่เป็น สถาบันการเงินเก่าแก่ที่เคยรับใช้ราชวงศ์ของอังกฤษมาก่อน   ทั้งสองเรื่องประกอบกับการที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปสูงมากเป็นฟองสบู่ทำให้หุ้น ตกลงมาอย่างหนักและทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนต้องตั้งกองทุนเพื่อพยุง ราคาหุ้นไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านั้น    แต่หุ้นก็ไม่สามารถยืนราคาอยู่ได้   หลังจากที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ไม่กี่เดือนมันก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย     เป็นเวลา 2 ปี  ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540

 วิกฤติ ปี 2540 นั้น  ผมได้เคยพูดไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ  นี้     หลังจากปี  40  เป็นเวลา  4  ปีเราไม่ได้เห็นวิกฤติเป็นเรื่องเป็นราว   แต่ถ้าจะพูดไป   ช่วงเวลานั้นอาจจะพูดว่าเรายังอยู่ในภาวะวิกฤติตลอดเวลา   เพราะว่าเศรษฐกิจ  สถาบันการเงินหลัก ๆ  ของประเทศ  และบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจำนวนมาก  ต่างก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเอาตัวรอดจากภาวะเลวร้ายทางการเงินได้หรือไม่   จวบจนถึงปี  2544  เรา   หรือถ้าจะพูดให้ตรงก็คือ  โลกก็ต้อง  ช็อก  จากการถล่มตึกเวิร์ลเทรดในนิวยอร์คของกลุ่มก่อการร้าย   เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องปิดตลาดหลักทรัพย์หนึ่งวัน   แต่ข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นเรื่องของการเมืองอเมริกันล้วน ๆ  และผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง ๆ  โดยเฉพาะของประเทศไทยมีน้อย   ดังนั้น   ผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นไทยจึงน้อยมาก  และผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง   ทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นเรื่อย      และมาบูมสุดขีดในปี 2546  ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 117%  ภายในปีเดียว   ก่อนที่จะประสบกับวิกฤติอีกครั้งหนึ่งในปี  2547

 หลังจากเวิร์ลเทรด  ต่อมาอีก 3  ปีคือในปี  2547  วิกฤติของประเทศไทยน่าจะเรียกว่าเกิดหลายเรื่อง   ไล่ตั้งแต่โรคซาร์  ไข้หวัดนก  สึนามิ  เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้  และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง    ทั้งหมดนั้นว่าที่จริงก็ยังไม่อาจพูดได้ว่ามันผ่านไปแล้ว   แต่เราก็ชินกับมันและดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหาเหมือนกับที่เกิดในช่วงแรก

 อีก 2 ปีต่อมาในปี 2549   ประเทศไทยก็เกิดการปฏิวัติอีกแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นวิกฤติเพราะไม่มีคนคัด ค้านมากนัก   และต่อมาอีก 2  ปีก็คือในปีปัจจุบันที่เรากลับมาเจอวิกฤติอีกครั้งหนึ่งที่น่าจะเป็นครั้ง ที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่งนับจากปี 2540   นั่นก็คือ   เราเจอวิกฤติที่เป็นผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก  และเรายังเจอวิกฤติจากการที่มีการประท้วงปิดสนามบินหลักของประเทศ  นอกจากนั้นเรายังมีปัญหาความแตกแยกของคนในชาติที่รุนแรงที่ยังไม่จบลง    แต่ในความคิดผมเองนั้น    เหตุวิกฤติรุนแรงครั้งนี้ก็จะเป็นอย่างที่ เบน เกรแฮม  เคยพูดไว้เป็นคำอมตะว่า   “this too, shall past”   นี่ก็จะต้องผ่านไปเหมือนกัน         


5  มกราคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น