เหตุการณ์ความรุนแรงที่มีผลกระทบในทางลบต่อตลาดหุ้นหรือที่คนคิดว่ามีผล
กระทบทางลบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรงนั้น
เกิดขึ้นเป็นประจำ พูดได้ว่าทุก
3-4
ปีหรือน้อยกว่านั้นประเทศไทยหรือไม่ก็โลกจะต้องประสบกับ “วิกฤติ”
บางอย่างที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย “อย่างแรง” ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น นักลงทุนก็มักจะรู้สึกว่าเหตุการณ์ “ครั้งนี้” รุนแรงมากกว่าที่เคยผ่านมา “ถ้าแก้ไขไม่ได้ บ้านเมืองและเศรษฐกิจอาจจะล่มสลาย” แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่
“วิกฤติร้ายแรง” นั้นก็ผ่านพ้นไปโดยที่บ้านเมืองไม่ได้ล่มสลาย เศรษฐกิจก็เติบโตต่อไป
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ยังอยู่และดัชนีหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น บางครั้งรุนแรง
เพื่อที่จะตกกลับลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้งเมื่อวิกฤติคราวหน้ามาถึง ตลาดหุ้นก็เป็นเช่นนี้ ลองมาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญมาและก็ผ่านมาได้และเราอาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเรา “กลัวแทบตาย”
ผมคงมองย้อนหลังไปถึงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ
ตลาดหุ้นไทยเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หน่อยและผมเริ่มเข้ามาทำงานในตลาดการ
เงินแล้ว นั่นก็คือ เหตุการณ์
Black Monday หรือวันจันทร์ทมิฬ นี่คือเหตุการณ์ที่น่าจะเรียกว่าเกิดจากปัญหา “ทางเทคนิค” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คและกระทบมาถึงตลาดหุ้นไทย
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุด ๆ
และไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรที่จะทำให้ตลาดหุ้นตกอย่างหนักยกเว้นแต่ว่า
อาจจะมีนักลงทุนหรือผู้ดูแลภาวะเศรษฐกิจภาพรวมที่กลัวว่าตลาดจะอยู่ในภาวะ “ฟองสบู่” จึงพยายามที่จะลดความร้อนแรงนั้น ในขณะเดียวกัน
นักลงทุนที่ระมัดระวังกันอยู่แล้วก็มีการติดตั้งระบบการซื้อขายหุ้นแบบ “อัตโนมัติ” หรือที่เรียกว่า Program Trading ที่จะสั่งขายหุ้นได้ทันทีถ้าหุ้นตกถึงระดับหนึ่ง และเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงถึงจุดนั้น
ระบบก็เริ่มทำงานและการขายหุ้นก็เกิดขึ้นต่อเนื่องทำให้หุ้นตกลงมาเป็น
ประวัติการณ์ แต่ที่น่าแปลกก็คือ
ตลาดหุ้นไทยซึ่งยังไม่ได้เปิดเสรีให้กับนักลงทุนต่างประเทศและไม่ได้มี Program
อะไรทั้งนั้น
ก็ตกลงไปมหาศาลพอ ๆ กันด้วย นั่นคือเหตุการณ์ในปี 2530
หลังจาก Black Monday ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปเร็วและแรงมากเป็นเวลา 3 ปีจนถึงปี 2533 ก็เกิดเหตุการณ์
สงครามอ่าวเปอร์เซียที่อิรักบุกเข้ายึดคูเวตซึ่งเป็นเหตุการณ์ “ช็อกโลก” เพราะนี่คือแหล่งน้ำมันซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญที่สุดของโลก ตลาดหุ้น
แน่นอน ตกลงมาอย่างหนัก แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมา
สหรัฐอเมริกากับพันธมิตรก็สามารถยึดคูเวตคืนมาได้หุ้นจึงปรับตัวขึ้นไปและ
เราก็ผ่าน “วิกฤติ” สงครามอ่าวมาได้ในเวลาอันสั้นเพื่อที่จะเผชิญกับ “สงคราม” ที่เกิดในประเทศไทยในอีก 2 ปีต่อมา
ในปี 2535
ผู้นำของกลุ่มทหารที่ทำการปฏิวัติที่เรียกว่า รสช. หรือถ้าผมจำไม่ผิดมาจากคำว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากมีการเลือกตั้ง
เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดการประท้วงของประชาชนและทหารได้เข้าปราบปรามจนเกิด
การเสียเลือดเนื้อและชีวิตจำนวนมากที่ต่อมาเรียกว่า “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” แต่วิกฤติครั้งนี้
เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนไม่มากนักและเกิดในเวลาอันสั้นจึงกระทบกับตลาดหุ้น
ไม่มากนัก
และหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านพ้นไป ตลาดหุ้นก็วิ่งขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อันเป็นผลจากการที่
เศรษฐกิจไทยเติบโตสุดขีดโตปีละกว่า 10 %
ติดต่อกันหลายปี ทำให้ดัชนีสูงถึง 1753
จุด ก่อนที่จะประสบกับวิกฤติรอบใหม่ คิดแล้วช่วงเวลาระหว่างวิกฤติรอบนี้กินเวลา 3
ปี ก่อน ที่จะเกิดวิกฤติรอบใหม่
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดจากการเงินของต่าง
ประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2538 ซึ่งมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน
เหตุการณ์แรกคือเรื่องของการลดค่าเงินเปโซลงมาเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นการ
แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจเม็กซิโก
แต่เหตุการณ์ที่ประทับใจรุนแรงกว่าก็คือการล้มของแบริงซีเคียวริตี้ที่เป็น
สถาบันการเงินเก่าแก่ที่เคยรับใช้ราชวงศ์ของอังกฤษมาก่อน
ทั้งสองเรื่องประกอบกับการที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปสูงมากเป็นฟองสบู่ทำให้หุ้น
ตกลงมาอย่างหนักและทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนต้องตั้งกองทุนเพื่อพยุง ราคาหุ้นไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านั้น แต่หุ้นก็ไม่สามารถยืนราคาอยู่ได้
หลังจากที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ไม่กี่เดือนมันก็เริ่มปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ
เป็นเวลา 2 ปี
ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540
วิกฤติ ปี 2540
นั้น ผมได้เคยพูดไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้
หลังจากปี 40 เป็นเวลา
4
ปีเราไม่ได้เห็นวิกฤติเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ถ้าจะพูดไป
ช่วงเวลานั้นอาจจะพูดว่าเรายังอยู่ในภาวะวิกฤติตลอดเวลา เพราะว่าเศรษฐกิจ สถาบันการเงินหลัก ๆ ของประเทศ
และบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจำนวนมาก
ต่างก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเอาตัวรอดจากภาวะเลวร้ายทางการเงินได้หรือไม่ จวบจนถึงปี
2544 เรา หรือถ้าจะพูดให้ตรงก็คือ โลกก็ต้อง
“ช็อก” จากการถล่มตึกเวิร์ลเทรดในนิวยอร์คของกลุ่มก่อการร้าย
เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องปิดตลาดหลักทรัพย์หนึ่งวัน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นเรื่องของการเมืองอเมริกันล้วน
ๆ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง ๆ โดยเฉพาะของประเทศไทยมีน้อย ดังนั้น
ผลกระทบที่มีต่อตลาดหุ้นไทยจึงน้อยมาก
และผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง
ทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นเรื่อย
ๆ และมาบูมสุดขีดในปี 2546 ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 117% ภายในปีเดียว
ก่อนที่จะประสบกับวิกฤติอีกครั้งหนึ่งในปี
2547
หลังจากเวิร์ลเทรด ต่อมาอีก 3
ปีคือในปี 2547 วิกฤติของประเทศไทยน่าจะเรียกว่าเกิดหลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่โรคซาร์ ไข้หวัดนก
สึนามิ เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3
จังหวัดภาคใต้
และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนั้นว่าที่จริงก็ยังไม่อาจพูดได้ว่ามันผ่านไปแล้ว แต่เราก็ชินกับมันและดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหาเหมือนกับที่เกิดในช่วงแรก
อีก 2 ปีต่อมาในปี
2549
ประเทศไทยก็เกิดการปฏิวัติอีกแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นวิกฤติเพราะไม่มีคนคัด
ค้านมากนัก และต่อมาอีก 2
ปีก็คือในปีปัจจุบันที่เรากลับมาเจอวิกฤติอีกครั้งหนึ่งที่น่าจะเป็นครั้ง
ที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่งนับจากปี 2540
นั่นก็คือ
เราเจอวิกฤติที่เป็นผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และเรายังเจอวิกฤติจากการที่มีการประท้วงปิดสนามบินหลักของประเทศ
นอกจากนั้นเรายังมีปัญหาความแตกแยกของคนในชาติที่รุนแรงที่ยังไม่จบลง แต่ในความคิดผมเองนั้น เหตุวิกฤติรุนแรงครั้งนี้ก็จะเป็นอย่างที่
เบน เกรแฮม เคยพูดไว้เป็นคำอมตะว่า “this too, shall
past” “นี่ก็จะต้องผ่านไปเหมือนกัน”
5 มกราคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น