วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปีทอง


ชีวิตของคนเรานั้นมีช่วงที่ดี  แย่  แย่มาก  และดีมาก   อาชีพของคนบางประเภทมักจะมีช่วงที่ดีและแย่แตกต่างกันมาก  ตัวอย่างเช่น  นักแสดงนักร้องและนักกีฬาอาชีพนั้น  ช่วงที่ดีมากของนักแสดงก็คือช่วงที่มีงานแสดงเข้ามามาก  มีหนังหรือละครที่เป็นที่นิยมคนดูติดกันงอมแงม  และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยงานการถ่ายแบบโฆษณาซึ่งทำรายได้มากมหาศาล  ถ้าเป็นนักร้องหรือนักกีฬาก็เป็นช่วงที่เพลงติดชาร์ทหรือเป็นช่วงที่แข่งชนะ ในรายการสำคัญ ๆ  ซึ่งมักจะตามมาด้วยชื่อเสียงและสุดท้ายก็คือโฆษณาซึ่งเป็นรายได้ที่สำคัญ มาก   นอกจากเรื่องของเงินและชื่อเสียงแล้ว  ความรู้สึกที่ดีในการเป็นคนที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางก็มักทำให้เจ้า ตัวมีความสุขด้วย   ช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ  ดังกล่าวนั้น  ถ้าจะให้เรียกอย่างที่พูดแล้วเข้าใจได้ทันทีก็คือ  เป็น  ปีทอง

ชีวิตนักลงทุนเองก็เป็นชีวิตที่มีขึ้นมีลงคล้ายกับชีวิตของพวกนักแสดงเหมือน กันนั่นก็คือ  ช่วงที่ขึ้นอาจจะดีมาก   ในขณะที่ช่วงตกต่ำก็ย่ำแย่มากได้เช่นเดียวกัน  ความแตกต่างอาจจะมีบ้างที่นักลงทุนนั้นมีชีวิตที่ยาวกว่านักแสดงหรือนัก กีฬา  นอกจากนั้น  นักลงทุนไม่ได้ถูกกำหนดโดย  ช่วงเวลาทอง  หรือช่วงเวลาที่ชีวิตมีศักยภาพสูงสุดในการสร้างความสำเร็จอย่างนักแสดงหรือ นักกีฬา  พูดง่าย ๆ  นักลงทุนอาจจะมี  ปีทองไปได้เรื่อยจนกว่าชีวิตจะหมดสมรรถภาพ  ในขณะที่นักแสดงและนักกีฬามักจะมีโอกาสทำได้ดีในช่วงที่ยังเป็นหนุ่มสาวเท่า นั้น   มาดูกันว่า  สำหรับนักลงทุนแล้ว  อะไรเป็นตัวที่กำหนดว่าปีไหนเป็น  ปีทอง  ของการลงทุนหรือของชีวิตของเขา

ในความเห็นของผม   เงื่อนไขของการที่จะเป็น  ปีทอง  ของนักลงทุนนั้น  ข้อแรก  ปีนั้นเขาควรจะได้ผลตอบแทนสูงมาก  ตัวเลขของแต่ละคนอาจจะต่างกันได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง  เช่น  เรื่องขนาดของพอร์ตโฟลิโอ  การกระจายการถือครองหุ้นหรือทรัพย์สิน  เป็นต้น  แต่โดยทั่วไปผมคิดว่า  Value Investor ผู้มุ่งมั่นควรได้ผลตอบแทนรวมของการลงทุนไม่ต่ำกว่า  50%  และนี่อาจจะเป็นข้อจำกัดในระดับหนึ่งเหมือนกันว่า  ปีทองของนักลงทุน  คนหนึ่งนั้น  มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เป็น  ปีทองของตลาดหุ้น  เพราะว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นดีมาก  โอกาสก็สูงที่เราจะทำผลตอบแทนได้ดีมากเช่นเดียวกัน   แต่นี่ก็ไม่เสมอไป  บางทีเราอาจจะทำได้ดีในช่วงที่ตลาดไม่ดีก็ได้  หรือในช่วงที่ตลาดดี  เราก็อาจจะทำได้ไม่ใคร่ดีก็ได้

เงื่อนไขข้อสอง  ซึ่งที่จริงก็ต่อมาจากข้อแรกก็คือ  ปีทองควรเป็นปีที่เราทำได้ดีมากและเราต้องพอใจกับผลงานการลงทุนของเราด้วย  ดังนั้น  เราควรสร้างผลตอบแทนรวมได้สูงกว่าผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ในปีนั้น   และคำว่าผลตอบแทนรวมของเรานั้น   ผมหมายถึงผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องทั้งหมดของเราซึ่ง รวมถึงเงินฝากและพันธบัตรหรือหน่วยลงทุนต่าง ๆ  ของเราด้วย  ดังนั้น  ปีทองของการลงทุนของเราแทบจะเกิดไม่ได้เลยถ้าเงินส่วนใหญ่ของเราถูกฝากอยู่ ในธนาคารที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก

เงื่อนไขข้อสาม  พอร์ตทรัพย์สินสภาพคล่องของเราควรจะอยู่ที่จุดสูงสุดหรือ  “All Time High”  นั่นก็คือ  เป็นช่วงเวลาที่ความ  มั่งคั่งของเราสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา   เงื่อนไขข้อนี้มีขึ้นเพื่อที่จะตัดความลำเอียงที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ปีที่ ผ่านมาพอร์ตเราอาจจะตกลงไปเยอะมากและผลตอบแทนในปีปัจจุบันอาจจะดีขึ้นมากแต่ ก็ยังไม่สามารถ  ชดเชย  การขาดทุนในปีที่ผ่าน ๆ มาได้   ลักษณะเช่นนี้   เรายังไม่ควรเรียกว่าเป็นปีทอง  เพราะคำว่าปีทองนั้นควรเป็นปีที่เรา  ร่ำรวยที่สุด  เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา

เงื่อนไขข้อสี่   ความมั่งคั่งโดยรวมของพอร์ตการลงทุนของเราควรจะเพิ่มขึ้นมากพอที่จะเรียกว่า มาก  จำนวนเท่าไรคงบอกไม่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน  บางคนบอกว่าได้กำไรปีนี้หนึ่งล้านบาทก็เป็นปีทองได้แล้วในขณะที่บางคนต้อง เป็นสิบหรือร้อยล้านบาทถึงจะเรียกว่าปีทอง   และนี่นำไปสู่เงื่อนไขข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ

เงื่อนไขข้อห้า  มันเป็นปีที่เราบรรลุถึง  หลักไมล์สำคัญเช่น  เรามีเงินจากการลงทุนมากพอที่จะทำให้เรา  มี  อิสรภาพทางการเงิน  ในระดับหนึ่ง  หรือระดับสองหรือสาม   หรือเรามีเงินครบล้านบาท   หรือสิบล้านหรือร้อยล้านบาทตามที่เราได้ตั้งเป้าหมายในระยะยาวไว้ก่อนหน้า นี้

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงเงื่อนไขบางส่วนที่ผมคิดว่าสำคัญ   การกำหนดหรือคิดว่าเป็น  ปีทอง  ของแต่ละคนนั้น  เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน  หลักสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  ปีทองก็คือต้องเป็นปีที่ดีมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับผลงานในอดีตของเราเอง ด้วย

ก่อนจะจบบทความนี้  และด้วยภาวะตลาดหุ้นที่สดใสมากนับถึงวันนี้ประมาณครึ่งปีที่ตลาดหุ้นให้ให้ ผลตอบแทนกว่า  30%  แล้ว  ผมหวังว่า  Value  Investor รุ่นเก่าหลายคนจะได้พบกับ  ปีทอง  ของตนเองอีกปีหนึ่ง   และสำหรับ VI รุ่นใหม่จำนวนที่มากกว่ามากที่ยังไม่เคยพบกับ ปีทองเลยนั้น   ผมหวังว่า  เมื่อสิ้นปีนี้  ถ้าทุกอย่างยังดีอยู่  เราอาจจะได้จารึกและจดจำว่า  นี่คือ  ปีทองของการลงทุนที่เรามีความรู้สึกที่ดีและมีความสุขมากจากการลงทุน     


25  กรกฎาคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น