เข็มทิศช่วยให้นักเดินเรือในสมัยโบราณไม่หลงทางท่ามกลางทะเลที่เวิ้งว้าง
การมีเข็มทิศจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและหมายถึงความเป็นความตาย เดินทางผิด
ผู้เดินทางอาจหลงทางหรือในบางครั้งอาจต้องตายกลางทะเล เดินทางถูก
เป้าหมายก็อยู่แค่เอื้อม ในการลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้น เราจำเป็นต้องมี “เข็มทิศ” ที่จะช่วยชี้นำให้เรา “เดินทาง” สู่เป้าหมาย นั่นก็คือ
สู่ความมั่งคั่ง
มีอิสรภาพทางการเงิน “เข็มทิศลงทุน” ที่เราควรจะต้องใช้ในการนำเราไปสู่เป้าหมายมีหลายข้อดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ซื้อหุ้นให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังลงทุนทำธุรกิจหรือเข้าหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน นี่เป็น
“เข็มทิศ” ที่สำคัญที่สุด หุ้นไม่ใช่กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ราคาขึ้น ๆ
ลง ๆ เบื้องหลังของหุ้นนั้นมีโรงงาน มีสำนักงาน
มีร้านค้า มีพนักงาน มียี่ห้อ
มีระบบการบริหาร มีลูกค้า และมีสิ่งต่าง
ๆ
ที่จำเป็นในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
สร้างกำไร และจ่ายปันผลให้เราซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าเรายึดแนวทางนี้อย่างมั่นคง การลงทุนของเราก็จะ “ไม่หลง” โอกาสผิดพลาดมีน้อย
ข้อ 2
ถ้าบริษัททำผลงานได้ดี
หุ้นก็จะดีตามเสมอ
แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะไม่ตามผลการดำเนินงานในทันทีทันใด
แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะต้องปรับตัวตามผลงานของบริษัท ดังนั้น
เมื่อซื้อหุ้นแล้ว
สิ่งที่จะบอกว่าเราซื้อถูกต้องก็คือ
ผลงานของบริษัทดีขึ้นเรื่อย ๆ
และเราได้รับปันผลมากขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอน
ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นตามกันไป
ข้อ 3
หาหุ้นของกิจการที่เข้าใจได้ง่ายและเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีก 5-10 ปี
ข้างหน้า
อย่าซื้อหุ้นที่เราไม่รู้จักว่าบริษัทผลิตและขายสินค้าอะไรและความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับอะไร ด้วยเข็มทิศอันนี้ เราจึงไม่ควรซื้อหุ้นของกิจการจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์
เนื่องจากเรามักจะไม่รู้จักธุรกิจจำนวนมากที่อาจจะสลับซับซ้อนเกินไปและเกินความสามารถของเราที่จะเข้าใจได้
ข้อ 4
การลงทุนที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำซึ่งในระยะยาวจะทำให้เรารวยได้ก็คือ การซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีในราคาที่ต่ำหรือราคายุติธรรม
การซื้อหุ้นของกิจการที่เลวในราคาถูกไม่ทำให้เรารวย เช่นเดียวกัน การซื้อหุ้นของกิจการที่ดีในราคาแพงก็ไม่ทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดี
ข้อ 5
กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นจำนวนพอสมควร ประมาณ
5 - 10 ตัว แต่อย่ากระจายมากเกินไปเพราะมันจะทำให้ผลตอบแทนลดลงจนไม่สามารถจะทำผลงานที่ดีได้ เกณฑ์คร่าว ๆ ก็คือ
อย่าซื้อหุ้นถ้าเราไม่พร้อมที่จะถือมันถึง
5% ของพอร์ต ในอีกด้านหนึ่ง อย่าซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินกว่า 50%
ของพอร์ต
ข้อ 6
ถือพอร์ตของหุ้นตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤติ
เหตุก็เพราะว่าในยามนั้นราคาหุ้นมักจะตกต่ำลงมากมาก่อนแล้ว จงจำไว้ว่าดัชนีหุ้นนั้นเป็นดัชนี “ชี้นำ” ไม่ใช่ดัชนี “ตาม” ของภาวะเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่า
เราจะเอาภาวการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบันมาเป็นเครื่องชี้ว่าเราควรจะถือหุ้นหรือไม่ไม่ได้ แน่นอน
ถ้าเรารู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เราก็สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอ ดังนั้น
อย่าสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจ
ถือพอร์ตของหุ้นที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
ข้อ 7 อย่าซื้อ
ๆ ขาย
ๆ
หุ้นโดยอิงจากภาวะตลาดหรือราคาของหุ้นรายวันหรือรายเดือน พิจารณาปรับพอร์ตจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เช่น
ผลการดำเนินงาน
ความแข็งแกร่งของกิจการ
ปัจจัยภายนอกที่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉลี่ยแล้ว
ระยะเวลาการถือหุ้นแต่ละตัวไม่ควรจะต่ำกว่า 2- 3
ปี
ข้อ 8
ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่จำเป็นต้องดีขึ้นทุกปี ในบางปีผลการดำเนินงานอาจจะถดถอยลงได้เนื่องจากปัจจัยภายนอกบางอย่างอย่างเช่นภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ความแข็งแกร่งของบริษัทควรจะต้องรักษาไว้ได้
แต่ถ้าความแข็งแกร่งของบริษัทกลับเพิ่มขึ้นในยามที่ผลการดำเนินงานลดลง สถานการณ์แบบนี้เราควรจะยินดีและถือว่าเป็นความ “ก้าวหน้า” ไม่ใช่ความถดถอยของบริษัท เหตุผลก็เพราะว่า หลังจากความถดถอยของกำไรแล้ว
กิจการจะเติบโตและทำกำไรดีขึ้นเป็นทวีคูณในอนาคต
เนื่องจากคู่แข่งอาจจะล้มหายหรืออ่อนเปลี้ยลง
ในขณะที่กิจการของบริษัทจะเติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ข้อ 9
ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัททั้งจาก
“ในสนาม” คือเรื่องของผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด และจากสื่อสารมวลชนต่าง ๆ โดยเฉพาะในหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจ อย่าตื่นเต้นกับประเด็นต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญ “ในเชิงยุทธศาสตร์” นั่นก็คือ มันไม่ได้เป็นข้อมูลที่จะเปลี่ยนสาระสำคัญของความสามารถของกิจการ “ข่าวดี” และ “ข่าวร้าย” ที่ปรากฏในสื่อนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่ “เกิด”
แล้วก็ “ดับ” ไป
โดยที่ไม่ได้มีผลในระยะยาวกับบริษัทเลย
แต่บางครั้งมันทำให้ราคาหุ้นขึ้นลง
“ชั่วคราว”
และมันอาจเป็นโอกาสที่เราจะฉกฉวยประโยชน์ได้
ข้อ 10
เป้าหมายสูงสุดจริง ๆ
ของการลงทุนก็คือ
ปันผลของพอร์ตหุ้นของเรา
ความสำเร็จของการลงทุนอย่างจริงจังก็คือ
การที่เราเห็นปันผลของเรามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ปีแล้วปีเล่า เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้น ในที่สุดเราก็จะพบว่า ปันผลที่เราได้รับแต่ละปีนั้น
เพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิตเราได้โดยไม่ต้องหารายได้จากแหล่งอื่น และนั่นก็คือ
ความเป็นอิสระทางการเงินที่จะทำให้เราสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตได้ตามที่เราต้องการ ดังนั้น
นักลงทุนที่มุ่งมั่นทุกคนควรจะต้องจดบันทึกเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปี ทุกปีที่เรารวบรวมรายรับจากปันผลเสร็จ
ลองตรวจดูว่ามันเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าหรือไม่ ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นก็อย่าได้กังวลแม้ว่ามูลค่าพอร์ตลงทุนจะลดลง เพราะ
ปันผลนั้นเป็น “ของแท้” แต่ราคาหุ้นเป็นของ “ชั่วคราว” ถ้าปันผลยังดีอยู่ ในที่สุดราคาหุ้นก็จะตามมา
ทั้งหมดนั้นก็คือ “เข็มทิศลงทุน” ซึ่งถ้าเราเดินตามอย่างมั่นคง
มันจะพาเราไปที่ “ทิศเหนือ” สู่ความมั่งคั่งและความสำเร็จ
07 เมษายน
2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น