วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เข็มทิศลงทุน


เข็มทิศช่วยให้นักเดินเรือในสมัยโบราณไม่หลงทางท่ามกลางทะเลที่เวิ้งว้าง   การมีเข็มทิศจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและหมายถึงความเป็นความตาย   เดินทางผิด   ผู้เดินทางอาจหลงทางหรือในบางครั้งอาจต้องตายกลางทะเล   เดินทางถูก  เป้าหมายก็อยู่แค่เอื้อม   ในการลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้น   เราจำเป็นต้องมี   เข็มทิศ  ที่จะช่วยชี้นำให้เรา  เดินทาง  สู่เป้าหมาย   นั่นก็คือ  สู่ความมั่งคั่ง   มีอิสรภาพทางการเงิน   เข็มทิศลงทุน  ที่เราควรจะต้องใช้ในการนำเราไปสู่เป้าหมายมีหลายข้อดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ซื้อหุ้นให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังลงทุนทำธุรกิจหรือเข้าหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน   นี่เป็น  เข็มทิศ  ที่สำคัญที่สุด   หุ้นไม่ใช่กระดาษแผ่นเล็ก ๆ  ที่ราคาขึ้น ๆ  ลง       เบื้องหลังของหุ้นนั้นมีโรงงาน   มีสำนักงาน   มีร้านค้า   มีพนักงาน   มียี่ห้อ  มีระบบการบริหาร   มีลูกค้า  และมีสิ่งต่าง    ที่จำเป็นในการสร้างมูลค่าเพิ่ม  สร้างกำไร  และจ่ายปันผลให้เราซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น   ถ้าเรายึดแนวทางนี้อย่างมั่นคง   การลงทุนของเราก็จะ   ไม่หลง  โอกาสผิดพลาดมีน้อย

ข้อ 2   ถ้าบริษัททำผลงานได้ดี   หุ้นก็จะดีตามเสมอ   แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะไม่ตามผลการดำเนินงานในทันทีทันใด   แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะต้องปรับตัวตามผลงานของบริษัท    ดังนั้น  เมื่อซื้อหุ้นแล้ว    สิ่งที่จะบอกว่าเราซื้อถูกต้องก็คือ  ผลงานของบริษัทดีขึ้นเรื่อย ๆ  และเราได้รับปันผลมากขึ้นเรื่อย     และแน่นอน  ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นตามกันไป

ข้อ 3   หาหุ้นของกิจการที่เข้าใจได้ง่ายและเราสามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีก  5-10 ปี  ข้างหน้า   อย่าซื้อหุ้นที่เราไม่รู้จักว่าบริษัทผลิตและขายสินค้าอะไรและความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับอะไร   ด้วยเข็มทิศอันนี้   เราจึงไม่ควรซื้อหุ้นของกิจการจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์    เนื่องจากเรามักจะไม่รู้จักธุรกิจจำนวนมากที่อาจจะสลับซับซ้อนเกินไปและเกินความสามารถของเราที่จะเข้าใจได้



ข้อ 4   การลงทุนที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำซึ่งในระยะยาวจะทำให้เรารวยได้ก็คือ   การซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีในราคาที่ต่ำหรือราคายุติธรรม     การซื้อหุ้นของกิจการที่เลวในราคาถูกไม่ทำให้เรารวย   เช่นเดียวกัน   การซื้อหุ้นของกิจการที่ดีในราคาแพงก็ไม่ทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดี

ข้อ 5   กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นจำนวนพอสมควร   ประมาณ  5 - 10 ตัว   แต่อย่ากระจายมากเกินไปเพราะมันจะทำให้ผลตอบแทนลดลงจนไม่สามารถจะทำผลงานที่ดีได้    เกณฑ์คร่าว ๆ  ก็คือ  อย่าซื้อหุ้นถ้าเราไม่พร้อมที่จะถือมันถึง  5%  ของพอร์ต  ในอีกด้านหนึ่ง   อย่าซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินกว่า  50%  ของพอร์ต

ข้อ 6   ถือพอร์ตของหุ้นตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤติ   เหตุก็เพราะว่าในยามนั้นราคาหุ้นมักจะตกต่ำลงมากมาก่อนแล้ว    จงจำไว้ว่าดัชนีหุ้นนั้นเป็นดัชนี  ชี้นำ     ไม่ใช่ดัชนี  ตาม   ของภาวะเศรษฐกิจ   นั่นหมายความว่า   เราจะเอาภาวการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบันมาเป็นเครื่องชี้ว่าเราควรจะถือหุ้นหรือไม่ไม่ได้    แน่นอน   ถ้าเรารู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า   เราก็สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้    แต่ข้อเท็จจริงก็คือ   ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอ    ดังนั้น   อย่าสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจ   ถือพอร์ตของหุ้นที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

ข้อ 7  อย่าซื้อ ๆ  ขาย    หุ้นโดยอิงจากภาวะตลาดหรือราคาของหุ้นรายวันหรือรายเดือน   พิจารณาปรับพอร์ตจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัท  เช่น  ผลการดำเนินงาน   ความแข็งแกร่งของกิจการ   ปัจจัยภายนอกที่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัท  โดยเฉลี่ยแล้ว  ระยะเวลาการถือหุ้นแต่ละตัวไม่ควรจะต่ำกว่า  2- 3  ปี

ข้อ 8  ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่จำเป็นต้องดีขึ้นทุกปี  ในบางปีผลการดำเนินงานอาจจะถดถอยลงได้เนื่องจากปัจจัยภายนอกบางอย่างอย่างเช่นภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ   แต่สิ่งสำคัญก็คือ   ความแข็งแกร่งของบริษัทควรจะต้องรักษาไว้ได้    แต่ถ้าความแข็งแกร่งของบริษัทกลับเพิ่มขึ้นในยามที่ผลการดำเนินงานลดลง   สถานการณ์แบบนี้เราควรจะยินดีและถือว่าเป็นความ  ก้าวหน้า  ไม่ใช่ความถดถอยของบริษัท   เหตุผลก็เพราะว่า   หลังจากความถดถอยของกำไรแล้ว  กิจการจะเติบโตและทำกำไรดีขึ้นเป็นทวีคูณในอนาคต  เนื่องจากคู่แข่งอาจจะล้มหายหรืออ่อนเปลี้ยลง   ในขณะที่กิจการของบริษัทจะเติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ข้อ 9  ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัททั้งจาก   ในสนาม   คือเรื่องของผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด   และจากสื่อสารมวลชนต่าง ๆ   โดยเฉพาะในหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจ    อย่าตื่นเต้นกับประเด็นต่าง ๆ  ที่ไม่ได้มีความสำคัญ   ในเชิงยุทธศาสตร์   นั่นก็คือ  มันไม่ได้เป็นข้อมูลที่จะเปลี่ยนสาระสำคัญของความสามารถของกิจการ     ข่าวดี  และ  ข่าวร้ายที่ปรากฏในสื่อนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่ เกิดแล้วก็  ดับไป  โดยที่ไม่ได้มีผลในระยะยาวกับบริษัทเลย   แต่บางครั้งมันทำให้ราคาหุ้นขึ้นลง  ชั่วคราว   และมันอาจเป็นโอกาสที่เราจะฉกฉวยประโยชน์ได้

ข้อ 10  เป้าหมายสูงสุดจริง ๆ  ของการลงทุนก็คือ    ปันผลของพอร์ตหุ้นของเรา   ความสำเร็จของการลงทุนอย่างจริงจังก็คือ   การที่เราเห็นปันผลของเรามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย     ปีแล้วปีเล่า   เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้น   ในที่สุดเราก็จะพบว่า   ปันผลที่เราได้รับแต่ละปีนั้น   เพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิตเราได้โดยไม่ต้องหารายได้จากแหล่งอื่น   และนั่นก็คือ  ความเป็นอิสระทางการเงินที่จะทำให้เราสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตได้ตามที่เราต้องการ   ดังนั้น  นักลงทุนที่มุ่งมั่นทุกคนควรจะต้องจดบันทึกเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปี   ทุกปีที่เรารวบรวมรายรับจากปันผลเสร็จ   ลองตรวจดูว่ามันเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าหรือไม่   ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นก็อย่าได้กังวลแม้ว่ามูลค่าพอร์ตลงทุนจะลดลง    เพราะ  ปันผลนั้นเป็น  ของแท้   แต่ราคาหุ้นเป็นของ   ชั่วคราว   ถ้าปันผลยังดีอยู่  ในที่สุดราคาหุ้นก็จะตามมา

ทั้งหมดนั้นก็คือ  เข็มทิศลงทุน  ซึ่งถ้าเราเดินตามอย่างมั่นคง  มันจะพาเราไปที่  ทิศเหนือ   สู่ความมั่งคั่งและความสำเร็จ                     


07  เมษายน  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น