วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตหลังเกษียณ


เดือนนี้สำหรับหลาย ๆ คนที่มีอายุครบ 60 ปีคงจะเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเขา  เกษียณอายุ  นั่นคือ  เขาไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานประจำที่เขาทำมาหลายสิบปี  เขาไม่ต้องรับผิดชอบงานในหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จในเวลาที่กำหนด  เขาไม่ต้องเข้าประชุมถกเถียงกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าอีกต่อไป  ความเครียดในการทำงานดูเหมือนจะหายไป  แต่ในอีกด้านหนึ่ง  เขาคงเริ่มคิดถึงชีวิตสังคมในที่ทำงาน  ต่อไปนี้เขาจะคุยกับใคร  เขาจะได้ฟังหรือเล่าเรื่องซุบซิบนินทาให้ใครฟัง   เขาจะมีงานสังสรรเหมือนเดิมที่ไหน  และสำหรับหลายคนที่เคยเป็นผู้บริหาร  เขาจะสั่งหรือใช้ใครพิมพ์งานหรือติดต่อส่งข่าวต่าง ๆ ในเมื่อเลขาที่เขาเคยมีหายไป  ใครจะขับรถไปรับตัวเองหรือลูกเมียหรือวิ่งงานสารพัดในเมื่อคนขับรถก็จะหายไปด้วย  นั่นเป็นเรื่องที่  น่าใจหายสำหรับหลาย ๆ  คน  แต่สำหรับคนจำนวนมากนั้น  เรื่องที่จะต้องคิดและน่าห่วงมากยิ่งกว่าก็คือ  เขาจะจัดการกับเรื่องการเงินหลังจากนี้อย่างไรในเมื่อเงินรายได้ประจำเดือนนั้นจะไม่มีอีกต่อไป

ผมเชื่อว่าคนที่อ่านบทความนี้และถึงวัยเกษียณแล้วคงต้องมีเงินเก็บสะสมไว้บ้าง  หลาย ๆ  คนมีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย  ดังนั้น  ผมคงพูดโดยอิงกับคนสองกลุ่มนี้เท่านั้น  ส่วนคนที่แทบไม่มีเงินเก็บสะสมเลยหรือมีน้อยมากนั้น  ผมคิดว่าทางเดียวที่ทำได้ก็คือ  หางานทำต่อไปไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืองานอิสระ   ส่วนคนที่เกษียณแล้วจริง ๆ    ต่อไปนี้คือความคิดและคำแนะนำของผมซึ่งเป็นคนที่สมัครใจ  เกษียณ  ก่อนกำหนดตั้งแต่อายุ 50 ปีเศษ ๆ  และใช้ชีวิต  อิสระมาได้ 5-6 ปีแล้ว   

ก่อนอื่นผมคงต้องบอกว่า  การเกษียณนั้นไม่ควรจะเป็นการเลิกทำงานทุกอย่าง  สำหรับผม  การเกษียณคือการเลิกจากการทำงานที่เราทำเพื่อเงินเป็นหลัก   หลัง  เกษียณ  เราควรจะทำงานต่อไป  แต่งานที่ทำนั้นควรเป็นงานที่เราชอบและมีประโยชน์ต่อตัวเราและ/หรือสังคมโดยส่วนรวม   งานนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้วเป็นงานอดิเรกหรืองานเสริมแต่เมื่อเราเกษียณจากงานประจำเราจึงหันมาทำงานนั้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว    งานนั้นอาจจะเป็นงานใหม่ที่เราเพิ่งเริ่มทำและมันเป็นงานที่เราเคยคิดอยากทำแต่ไม่มีเวลาหรือไม่มีโอกาสที่จะทำในขณะที่เรายังทำงานประจำอยู่   อย่าไปห่วงว่าเราจะทำไม่ได้หรือยากลำบากเกินไปเพราะถ้าทำแล้วเราไม่ชอบหรือไม่ประสบความสำเร็จเราก็เลิกทำได้เสมอ   ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ  อายุ 60 ปีที่เราเกษียณนั้น  ไม่ได้แก่เกินไปที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่  เพราะสำหรับคนทั่วไปผมคิดว่าอายุที่จะเสียชีวิตนั้นน่าจะถึง 80 ปี ซึ่งทำให้มีเวลาอีกตั้ง 20 ปีที่จะทำสิ่งที่เราต้องการทำ   ดังนั้น  การเกษียณนั้นไม่ใช่เวลาสิ้นสุดแต่เป็นเวลาที่เพิ่งเริ่มต้นสำหรับสิ่งใหม่ที่ท้าทายของชีวิต

การทำงานในช่วงเวลาหลังเกษียณนั้น  ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การทำงานเพื่อเงินเป็นหลัก  แต่ผมคิดว่าการทำงานแล้วได้เงินด้วยก็เป็นสิ่งที่ดี  เพราะเงินนั้น  อย่างน้อยมันเป็นเครื่องวัดว่างานที่เราทำ  มีค่า  ในสายตาของคนในสังคม   การทำงานแล้วได้เงินนั้นมันจะทำให้งานไม่น่าเบื่อหรือไม่มีจุดหมาย  ว่าที่จริง  หลายคนอาจจะทำงานได้เงินมากกว่าในช่วงที่ยังทำงานปกติก็เป็นไปได้   เพราะหลังจากการเกษียณแล้ว  เขาก็เป็นอิสระในการเลือกทำเฉพาะงานที่มีค่ามากและไม่ทำงาน  ขยะ  เช่นงานประชุมบางอย่างที่เสียเวลามากและไม่ได้ประโยชน์   อย่างไรก็ตาม  อย่าทำงาน  เพื่อเงิน  เพราะนั่นจะกลายเป็นว่าเรากลับเข้าไปอยู่ในวังวนของการทำงานที่ผูกมัดชีวิตของเราจนไม่มีความสุข   พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ  งานหลังเกษียณนั้น   ไม่ควรเป็นงานที่หนักเท่ากับงานประจำเดิม  แต่ควรเป็นงานที่มีค่าและมีประโยชน์ทำแล้วมีความสุข  ส่วนเงินนั้นเป็นผลพลอยได้ที่พึงปราถนา  ยิ่งมากก็ยิ่งดี  แต่เราไม่ไล่หามัน

หลังเกษียณเป็นเวลาที่ร่างกายเรามักจะเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่งก็คือการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแร็ง  ดังนั้น  การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็นและว่าที่จริงทำให้เรามีความสุขไม่น้อยกว่าสิ่งอื่น ๆ   ผมเอง  หลังจาก เกษียณ  ตัวเองก็เริ่มหัดเล่นกอล์ฟ  เพราะกอล์ฟนั้นช่วยให้เราได้เดินค่อนข้างมากในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ   คุณไม่จำเป็นต้องเล่นกอล์ฟเพื่อเป็นการออกกำลังกายแต่ไม่ควรเล่นกีฬาที่ต้องใช้พลังงานสูงหรือหักโหมเกินไป  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน   การออกกำลังกายสม่ำเสมอที่เหมาะสมกับร่างกายเป็นสิ่งที่คนหลังวัยเกษียณควรทำเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากการออกกำลังหรือกีฬาแล้ว   การทำงานอดิเรกหรือการทำงานเพื่อสังคมเช่นการเป็นอาสาสมัครในเรื่องต่าง ๆ  ก็เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจทำสำหรับคนหลังเกษียณ  การสอนหนังสือหรือเผยแพร่ประสบการณ์ให้กับคนอื่นเป็นสิ่งที่จะทำให้เราไม่รู้สึกล้าหลังหรือกลายเป็นคนแก่ที่ไร้ความหมาย  ดังนั้น  ลองมองหาดูว่าอะไรที่เราพอทำได้แล้วไม่รู้สึกหนักแต่เพลิดเพลินและได้สังคมกับคนต่างวัยกันด้วย

สุดท้ายซึ่งสำคัญมากก็คือเรื่องของเงินทอง  การเกษียณนั้นแปลว่าเงินที่จะได้จากน้ำพักน้ำแรงจะค่อนข้างน้อยลงหรือหมดไปแต่เรายังต้องใช้เงินในการดำรงชีวิตอยู่  คนที่มีเงินมากเหลือเฟืออาจจะไม่ต้องคิดอะไรมาก  แต่คนที่มีเงินพอสมควรแต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถใช้ได้ตลอดชีวิตอย่างสะดวกสบายจะต้องรู้จักการบริหารเงิน   การบริหารเงินของคนเกษียณนั้นไม่ใช่ไม่ยอมเสี่ยงเลยและทำแค่ฝากเงินไว้กับธนาคาร   เพราะดอกเบี้ยที่ต่ำมากเพียง 1-2% ต่อปีในขณะที่ยังมีเงินเฟ้ออยู่นั้นจะทำให้ค่าของเงินลดลงในอนาคตซึ่งทำให้ความมั่งคั่งลดลงและอาจทำให้เรามีปัญหาทางการเงินได้

สูตรการบริหารเงินสำหรับคนเกษียณนั้นผมคิดว่าคล้าย ๆ กับคนทั่วไปเพียงแต่การลงทุนอาจจะลงในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่านั่นก็คือ   ควรแบ่งกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ใหญ่ ๆ  สามอย่างคือ  หุ้น  พันธบัตร  และเงินสดในธนาคาร  โดยสัดส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นให้เอา  80 ตั้งลบด้วยอายุตัวเองเช่น  60 ปี ก็จะได้ว่าเราควรลงทุนในหุ้น 20%   ส่วนการลงทุนในเงินฝากธนาคารทั้งฝากประจำและออมทรัพย์รวมกันไม่เกิน 20%  ที่เหลือ 60% ให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ที่มั่นคง  โดยที่การลงทุนในหุ้นและพันธบัตรนั้น  ถ้าเรายังไม่รู้วิธีหรือเทคนิคที่ถูกต้องก็สามารถลงทุนในกองทุนรวมซึ่งบริหารโดยมืออาชีพได้  การลงทุนเป็นพอร์ตโฟลิโอของสินทรัพย์หลายกลุ่มแบบนี้จะทำให้เราได้ผลตอบแทนสูงขึ้นโดยน่าจะได้ถึงปีละ 5% โดยเฉลี่ยและความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้อย่างสบาย

ทั้งหมดนั้นก็เป็น  ชีวิตหลังเกษียณแนวทางหนึ่ง   แต่จริง ๆ  แล้วหัวใจของมันก็คือ  การเกษียณนั้น  ไม่ใช่  Last Stop หรือ  รถเมล์ป้ายสุดท้าย  ก่อนตาย  แต่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่อิสระและมีความหมายเต็มเปี่ยม  เป็นปีทองของชีวิต

10  ตุลาคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น