วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชายกลางกับครูกุ๊ก


            การเป็น Value Investor ที่ดีนั้น  นอกจากการเรียนรู้และติดตามภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแล้ว   เราต้องรู้และเข้าใจกระแสหรือแนวโน้มของสังคมด้วย   ว่าที่จริงสังคมนั้นเป็นพลังสำคัญที่สุดในการกำหนดเรื่องของภาวะและระบบเศรษฐกิจและการเมือง   ดังนั้น   ถ้าเราเข้าใจสังคม  ก็มีแนวโน้มว่าเราจะสามารถพยากรณ์ทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองได้แม่นยำขึ้น   สำหรับผม  การติดตามความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ให้ภาพชัดเจนที่สุดก็คือ   การดูหนังดูละครและติดตาม  ข่าวดารา  ที่เดี๋ยวนี้มีหนังสือพิมพ์วางแผงจำหน่ายทุกวัน  เช่นเดียวกับละครที่ออกอากาศวันละหลายเรื่อง

            แนวโน้มของสังคมที่ผมสังเกตเห็นว่าเปลี่ยนไปมากนับย้อนหลังไปสัก 40 ปีก่อนขณะที่ผมยังเป็นวัยรุ่นก็คือสถานะของผู้คนในสังคม  ในสมัยก่อนนั้นสังคมไทยค่อนข้างจะจัดลำดับของคนเป็นชั้น ๆ  ตามลำดับที่อาจจะเรียกว่า  ศักดินาหรือตามตำแหน่งอำนาจที่กำหนดเป็นทางการ  โดยคนที่มีฐานะทางสังคมสูงก็คือคนที่มีอำนาจที่เป็นทางการหรืออำนาจทางวัฒนธรรมสูงและคนที่อยู่ต่ำก็คือคนที่ไม่มีอำนาจที่เป็นทางการหรือทางวัฒนธรรมเลยและมีอาชีพที่ไม่ได้สังกัดบริษัทหรือกิจการขนาดใหญ่   ในสมัยนั้นละครที่ออกอากาศก็มักจะมีพระเอกที่เป็นผู้ดีมีตระกูลทำงานเป็นข้าราชการ  ละครที่ฮิตที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ บ้านทรายทองซึ่งพระเอกเป็น  ชายกลาง  เดี๋ยวนี้ละครเปลี่ยนไปมาก  พระเอกหรือตัวเอกส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ  หลาย ๆ  เรื่องก็เป็นชาวบ้านธรรมดา  และละครที่กำลังฮิตมากก็คือ สูตรเสน่หา  ซึ่งพระเอกเป็น  ครูกุ๊ก  เรื่องของชนชั้นในสังคมนั้น  ถ้าจะยังมีอยู่ก็เป็นเรื่องว่า  ใครมีเงินมากกว่ากัน  เพราะฉะนั้น  นักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการซึ่งมักจะมีเงินมากจึงเป็นคนที่มีสถานะค่อนข้างโดดเด่นในสังคม

          พูดถึงเรื่องของดารา  ซึ่งผมหมายรวมถึงนักร้องด้วยนั้น  สมัยก่อน  ดาราเป็นอาชีพ  เต้นกินรำกิน  ซึ่งหมายถึงการเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยในสายตาของสังคม   ดังนั้น  คนที่เรียนสูงระดับจบปริญญาตรีนั้นมักจะไม่ยอมทำอาชีพหรือเป็นดารา   เดี๋ยวนี้คนอยากเป็นดารากันทั้งนั้น  แม้แต่คนที่เรียนจบจากฮาร์วาดหรือเรียนจบปริญญาเอกจากต่างประเทศก็ยังอยากเป็นดารา   ดาราที่สมัยก่อนมักจะเป็นลูก  ชาวบ้านธรรมดา  นั้น   เดี๋ยวนี้  จำนวนมากเป็นลูก  ไฮโซ  อาชีพดาราสมัยก่อนนั้นแทบไม่มีเงินเหลือเก็บทั้งที่แสดงเป็นสิบหรือร้อยเรื่อง  สมัยนี้ดาราหลายคนมีเงินมากเป็นเศรษฐีร้อยล้านบาทก็มี   นอกจากเงินแล้ว   ดาราเป็นคนที่มีชื่อเสียงและสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับคนที่มาเกี่ยวข้องได้  ดังนั้น  ดาราจึงเป็นที่หมายปองของคนหลาย ๆ  คนหรือหลาย ๆ  กลุ่ม เช่นนักการเมืองหรือกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการคนที่มาช่วยในการประชาสัมพันธ์งานของตนเอง

            การหาคู่ครองของดาราสะท้อนภาพของสังคมได้ค่อนข้างชัดเจน  ดาราผู้หญิงเดี๋ยวนี้ไม่ชอบคู่ที่เป็นตำรวจทหารหรือข้าราชการอย่างในสมัยก่อน  หรือถ้าจะชอบผู้ชายก็มักจะเป็นลูกของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือนักการเมืองที่มีเงินมหาศาล  ดาราหญิงชื่อดังส่วนใหญ่ชอบนักธุรกิจหรือลูกเจ้าของกิจการขนาดใหญ่หรือดาราชื่อดังด้วยกัน   ว่าที่จริงสมัยนี้ดาราหญิงนั้นแข่งขันหรือวัดกันว่าใครจะมีแฟนหรือมีคู่ที่รวยกว่ากัน  เพราะการมีแฟนที่รวยจะทำให้ดารามีหรือรักษาสถานะที่โดดเด่นในสังคมได้ยาวนาน  การมีแฟนจนหรือไม่รวยนั้นจะทำให้รู้สึกน้อยหน้าเพื่อนฝูง  ทั้งหมดนั้นแตกต่างกับดาราสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง  เพราะดาราสมัยก่อนนั้นแทบไม่มีโอกาสมีคู่ที่มีฐานะเป็นเศรษฐี  ว่าที่จริง  ดาราสมัยก่อนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่าตนเองมีคู่แล้วเนื่องจากกลัวว่าผู้คนจะไม่ดูหนังที่ตนเองเล่นถ้ารู้ว่ามีคู่แล้ว

          ดาราแต่งหรือเป็นคู่กับเศรษฐีหรือไฮโซนั้น   แม้ว่าในสังคมดูเหมือนจะมองว่าดารายังเป็น  เบี้ยล่าง  เห็นได้จากการที่ต้องได้รับการ  “Approve” หรือได้รับการยอมรับจากว่าที่แม่สามี  แต่ไม่เคยมีข่าวว่า ว่าที่ลูกเขยที่ร่ำรวยได้รับการอนุมัติจากว่าที่แม่ยายแล้ว  แต่ดาราเองนั้นเดี๋ยวนี้ก็  ไม่แคร์    เหนือสิ่งอื่นใด  คนในสังคมไม่ค่อยสนับสนุน  ผู้ดีเก่าที่อาจจะแสดงอาการเหยียดดารา  ตรงกันข้าม  ดารานั้น  มีทั้งชื่อเสียงและเงินและด้วยอิทธิพลของสื่อที่รวดเร็วกว้างขวางในปัจจุบัน  ดารากำลังจะกลายเป็นไฮโซเหมือนอย่างที่พวกเขาเป็นในต่างประเทศ

            ผมเขียนมายืดยาวเกี่ยวกับเรื่องของหนังและดารา  ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเศรษฐกิจและการเมือง  และถ้าดูเรื่องของสังคมก็เป็นสังคมของดารา  ไม่เกี่ยวอะไรกับสังคมทั่วไปไม่ต้องพูดถึงหุ้น  แต่ผมคิดว่าเรื่องของดารานั้นเป็นภาพสะท้อนของสังคมส่วนรวม   เป็นเรื่องของความเชื่อและความนึกคิดของคนทั่วไปที่แสดงออกผ่านทางดาราและภาพยนต์หรือละคร  และสิ่งที่ผมสรุปจากการดูพัฒนาการของวงการนี้ผมเห็นว่า   สังคมไทยนั้น   กำลังปรับเปลี่ยนไปตามอย่างตะวันตกอย่างไม่อาจหวลกลับได้นั่นคือ
            สังคมไทยกำลังถอยห่างจาก  Establishment  หรือการกำหนดมาตรฐานประจำชาติหรือกลุ่มคนที่มีอำนาจหรือมีอิทธิพลที่เป็นทางการ  ประชาชนทั่วไปมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้นและแสดงออกใน สังคมของตนเอง  พวกเขา ไม่แคร์ว่าใครจะอยู่  ชั้นไหน  ในสังคมเก่าสมัยก่อน   สิ่งที่เขาสนใจและแสวงหาก็คือ  ใครมีเงินมากกว่า  พูดง่าย ๆ  เงินเป็นตัววัดความสำเร็จ   เงินเป็นสิ่งที่คนแสวงหา  ถ้าจะพูดว่าสังคมไทยนั้นเป็นสังคมของทุนนิยมเต็มที่ก็ไม่น่าจะผิด  อย่างน้อยก็ในด้านของสังคมและเศรษฐกิจ  และแม้ว่าอาจจะมีพลังบางอย่างจากคนบางกลุ่มที่พยายามขัดขวางกระบวนการนี้ผ่านทางการเมือง  มันก็จะไม่มีทางสำเร็จเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ 

            ผมเองมักจะถูกถามว่า  ถ้ามีกฎหมายหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้การทำธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุนอยู่ประสบอุปสรรคอย่างแรงเราจะทำอย่างไร   คำตอบของผมก็คือ  ถ้าสิ่งที่บริษัทเราทำนั้นมีประโยชน์และคนต้องการ  กฎหมายนั้นย่อมไม่สามารถขวางได้  โดยนัยก็คือ  มันไม่น่าจะเกิดได้  หรือถ้าเกิดได้ก็ต้องมีทางแก้  ชีวิตประชาชนนั้น  เหมือนกับชีวิตของดารา  ถึงวันนี้พวกเขากำหนดแนวทางชีวิตของเขาได้แม้ว่าจะมีคนหรือกฏเกณฑ์ที่คอยขัดขวางหรือบอกว่าห้ามทำ  ดังนั้น  ถ้าประชาชนบอกว่าเขาต้องการใช้สินค้าของบริษัทเราและเขาพร้อมที่จะจ่ายเงิน  อย่ากลัวว่าจะถูกขัดขวางโดยนักการเมือง  อย่างมากต้นทุนของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นบ้างเท่านั้น  ในโลกของทุนนิยมนั้น  เงินเป็น  คะแนนโหวตที่ตัดสินเสมอ


21  ธันวาคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น