ทุกครั้งที่ผมซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ผมคิดเสมอว่าผมกำลังลงทุนในธุรกิจ ผมไม่ได้ซื้อกระดาษที่เรียกว่า “หุ้น” แผ่นเล็ก ๆ
ที่มีราคาขึ้น ๆ ลง ๆ ทุกวัน
ธุรกิจนั้นเป็น “ของจริง” ที่มี โรงงานหรือสำนักงาน มีพนักงาน
มีระบบการบริหารและข้อมูล
มีแหล่งป้อนวัตถุดิบหรือสินค้าเพื่อนำมาขายต่อ และสุดท้ายก็คือ มีร้านหรือช่องทางที่จะขายให้กับ “ลูกค้า” ซึ่งบ่อยครั้งก็คือตัวผมเองและคนในครอบครัว ดังนั้น
สำหรับผมแล้ว
การลงทุนซื้อขายหุ้นนั้น ผมสามารถ “สัมผัส” กับมันได้ผ่านการได้เห็นร้าน และการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัท
นอกจากผมเองที่สามารถ “สัมผัส” กับกิจการได้แล้ว ผมยังมักจะถามความเห็นของภรรยา
และโดยเฉพาะลูกสาวที่ยังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยว่ากิจการที่ผมสนใจนั้น เขามีความ
“รู้สึก” อย่างไรด้วย เหตุผลก็คือ
ถ้าผมคิดเอง ความรู้สึกของผมอาจจะผิดเนื่องจากอายุที่มากและอาจจะรู้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขมากจนทำให้มีความลำเอียงในความดีเด่นหรือความด้อยของกิจการ
ในขณะที่ฐานะและความแข็งแกร่งทางด้านการตลาดนั้น เด็กวัยรุ่นกับผู้หญิงที่ไม่ได้เล่นหุ้นน่าจะรู้ดีที่สุด และต่อไปนี้ก็คือบางประเด็นที่ผมมักใช้ทดสอบว่าหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนจากการ “สัมผัส” โดยที่ประเด็นต่าง ๆ เหล่านั้น
ผมจะมองที่หุ้นของกิจการที่มี “อนาคต” และ “มีชีวิตชีวา” มองจากสายตาของ “คนรุ่นใหม่” หรือคนที่สามารถ “ใช้สามัญสำนึกได้โดยไม่ลำเอียง”
ข้อแรกที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการเลือกหุ้นก็คือ ธุรกิจนั้น
เรา “ภูมิใจ” ที่จะได้เป็นเจ้าของหรือไม่ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ
ลูกเรารู้สึกภูมิใจที่จะไปคุยกับเพื่อนฝูงว่าเขาเป็นเจ้าของหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกว่ากิจการที่เรากำลังพิจารณาซื้อนั้น เป็นกิจการที่ดูเชยหรือโบราณหรือไม่น่าสนใจ พูดไปเพื่อนฝูงก็ไม่รู้จัก แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นกิจการที่ “ไม่เท่” ในสายตาของคนรุ่นใหม่ ตรงกันข้าม
ถ้าเขารู้สึกว่าการเป็นเจ้าของกิจการที่กำลังพูดถึงนั้นจะทำให้เขาดูดีมาก เป็นที่อิจฉาของเพื่อนฝูงและน่าจะทำให้เขาดูปอบปูลาร์มาก
แบบนี้ก็แสดงว่าหุ้นที่เรากำลังพิจารณานั้นน่าจะเป็นหุ้นที่มีอนาคตที่ดีอย่างน้อยก็ในแง่ของตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์
ข้อสอง
ธุรกิจนั้น
เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้มากหรือไม่ มันเป็นเทรนด์หรือเป็น “แฟชั่น” หรือไม่ ถ้าคำตอบก็คือ นี่เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว
คนรุ่นใหม่ไม่สนใจหรือกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้อย่างอื่น
แบบนี้ก็ต้องระวังว่าอนาคตอุตสาหกรรมอาจจะกำลังตกต่ำลง ตรงกันข้าม
สินค้าหรือบริการที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้หรือเริ่มเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเรื่อย
ๆ หรือแสดงความสนใจศึกษามากขึ้นเรื่อย
ๆ
แบบนี้ก็แสดงว่าสินค้าหรือบริการนั้นกำลังอยู่ในเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ อนาคตและการเติบโตของอุตสาหกรรมน่าจะดีขึ้น
ข้อสาม
กิจการมีการเติบโตต่อเนื่องเห็นได้จากการ
“เปิดร้านสาขาใหม่ ๆ” เพิ่มขึ้นตลอดทั้งในทำเลที่ใกล้เคียงและในทำเลใหม่
ๆ ที่ยังไม่เคยเปิดมาก่อน
ความคึกคักของร้านนั้นสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากร้านที่ “ดูใหม่” และทันสมัย มีสินค้าใหม่ ๆ มากมายที่ลูกค้า ซึ่งอาจจะรวมถึงครอบครัวเราด้วย อยากเข้าไปใช้บริการมากกว่าร้านอื่น ๆ ที่ขายสินค้าคล้ายคลึงกัน
ข้อสี่
เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้วรู้สึก
“โดน” มาก
คือรู้สึกประทับใจและถ้าเลือกได้ก็จะใช้ของบริษัทนี้ นอกจากนั้นเพื่อน ๆ หรือคนอื่นก็พูดคล้าย ๆ กัน
คำว่าประทับใจหรือพอใจนั้นต้องดูโดยรวมและเทียบกับราคาของสินค้าหรือบริการนั้นด้วย กิจการที่ให้บริการที่ “โดน” นั้น
จะสามารถผูกใจให้ลูกค้ามีความภักดีต่อสินค้าหรือบริการซึ่งจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและยาว
ข้อห้า
รู้สึกว่าบริษัทมี “ความมั่นคงมาก” ความรู้สึกนี้มักจะมาจากการที่บริษัท
ก่อตั้งมานาน
มีระบบการจ้างงานที่ดี
ให้เงินเดือนหรือสวัสดิการดี
องค์กรจ้างคนที่มีคุณสมบัติสูงเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นที่จ้างคนที่มีระดับการศึกษาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม
เราไม่ต้องไปดูข้อมูลเหล่านี้
เราเพียงแต่ใช้หรือฟังภรรยาและลูกพูดถึงบริษัทว่ารู้สึกอย่างไรก็พอ
ข้อหก
พนักงานของบริษัท “ดูดี” เช่น
ขยันและเอาใจใส่กว่าบริษัทคู่แข่ง
แต่งตัวดีและหน้าตาดีกว่าบริษัทอื่นในระดับเดียวกัน
บางทีผมก็พยายามมองดูว่าพนักงานของบริษัทนี้รู้สึกจะมีความภูมิใจในตัวเองมากกว่าพนักงานของบริษัทคู่แข่งหรือไม่ ถ้าใช่ก็ถือว่าดี
ข้อเจ็ด
กิจการมีการ “เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” เช่นเดิมทีต้องรอนานและพนักงานไม่สนใจลูกค้า
กลายเป็นเร็วขึ้นและต้อนรับลูกค้าอย่างดีและมีบริการใหม่ ๆ มาเสนอต่อลูกค้าตลอด ข้อนี้ถ้าเราเห็นหรือรู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่
ๆ
ก็จะเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่งดงามได้
อย่างไรก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้น
ครอบคลุมกว้างมากและรวมไปถึงกิจการทุกประเภทที่เราจะสามารถสัมผัสได้ ดังนั้น
ในแง่ของการลงทุนแล้ว
ทุกครั้งที่เราซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
เราควรจะต้องสังเกตและวิเคราะห์เสมอว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม ดีขึ้นหรือเลวลง มากน้อยแค่ไหน
ถ้าคำตอบคือ ดีขึ้นมากละก็ ลองพิจารณาอย่างจริงจังที่จะซื้อหุ้นดู
ผมคงไม่สามารถที่จะพูดได้หมดว่ามีประเด็นอะไรอีกบ้างที่จะเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจมองจาก “การสัมผัส” กับสินค้าหรือบริการนั้น แต่สิ่งที่จะเน้นย้ำอีกครั้งก็คือ เราจะต้องเห็นถึงความ “มีชีวิตชีวา” ของตัวกิจการ
ซึ่งสิ่งนี้มักจะอิงหรือเกี่ยวข้องกับคนที่มีอายุน้อยและเป็นคนรุ่นใหม่ และก็เช่นเคย การวิเคราะห์โดยการสัมผัสนั้น แม้ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ที่สำคัญมากแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
นักลงทุนยังคงต้องวิเคราะห์ในเรื่องของการเงินและอื่น ๆ รวมถึงราคาหุ้นตามมาตรฐานที่เข้มงวดแบบ VI ด้วย
9
พฤศจิกายน 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น