วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สบู่ทุกก้อน


ผมมักถูกถามจากคนรู้จักหรือคนที่ติดตามผลงานว่าเขาควรจะซื้อกองทุนรวมของบริษัทไหนดี    พูดง่าย ๆ  ว่า   บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไหนมีฝีมือดีที่สุด    คำตอบของผมทุกครั้งก็คือ   ให้หาบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือในด้านของความซื่อสัตย์  รับผิดชอบ  และมีความสะดวกในการติดต่อซื้อขายเป็นหลัก   ส่วนเรื่องของ  ฝีมือ  ในการลงทุนนั้น   ผมคิดว่าแต่ละบริษัทก็ทำได้ดีพอ ๆ  กัน   หรือถ้าจะพูดแบบนักวิชาการก็คือ   แย่พอ ๆ  กัน   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  บลจ. ส่วนมากนั้น   ผมคิดว่ามีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ   ใกล้เคียงกันและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้   ถ้าจะมีอะไรแตกต่างกัน   ผมคิดว่าเป็นเรื่องของภาพพจน์ที่บริษัทสร้างขึ้นหรือเป็นภาพที่คนมองว่าบริษัทหนึ่งเหนือกว่าหรือดีกว่าอีกบริษัทหนึ่งเท่านั้น   และภาพพจน์ที่ว่านั้นก็มักจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ  ตามกาลเวลาหรือตามผลการบริหารกองทุนที่เปลี่ยนไปตามภาวะของตลาดและกลยุทธ์การเลือกหุ้นของบริษัท

เช่นเดียวกัน   นักลงทุนต่างก็ตั้งความหวังกับรัฐบาลในการแก้ไขหรือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ   คนมักจะคิดว่ารัฐบาลชุดนั้นเก่งมีฝีมือในการบริหารประเทศมากกว่าอีกชุดหนึ่งเพราะในช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจเจริญเติบโตมากกว่า   ปัญหาทางเศรษฐกิจมีน้อยกว่า   หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาได้ยินมาตรการและคำพูดหรือศัพท์แสงทางเศรษฐกิจที่ดูก้าวหน้าหรือมี  ภูมิปัญญา  มากกว่า    แต่ในความคิดผมเองนั้น  ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลชุดไหนมีความสามารถมากกว่าชุดไหน   เพราะการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลกับอีกรัฐบาลหนึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเราทำไม่ได้    รัฐบาลหนึ่งอาจจะมีฝีมือดี   แต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมแย่มาก   ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาแย่มาก  และคนก็คิดว่ารัฐบาลบริหารไม่เป็น   รัฐบาลบางรัฐบาลอาจจะไม่มีฝีมืออะไรเลยแต่ประเทศและโลกอยู่ในภาวะเฟื่องฟูเศรษฐกิจก็ไปได้ฉลุย  ทุกคนบอกว่ารัฐบาลเก่ง

ความคิดของผมก็คือ  รัฐบาลแต่ละรัฐบาลก็คล้าย ๆ  กัน  เมื่อเข้ามาแล้วสิ่งที่รัฐบาลทำแล้วมีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริง ๆ  ในระยะเวลาอันสั้นก็คือ   การจัดสรรงบประมาณ   ซึ่งงบส่วนใหญ่ก็มักจะถูกกำหนดกันหมดแล้วเช่นเรื่องของเงินเดือนและงบผูกพันทั้งหลาย   งบประมาณอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่มากนักก็จะถูกจัดสรรและกระจายออกไปสู่ประชาชนและธุรกิจทั้งหลายและแน่นอนกลับไปสู่นักการเมืองที่มักจะมี   เปอร์เซ็นต์มาตรฐาน  ผ่านโครงการต่าง ๆ  ที่ถือว่าเป็น  ผลงานของรัฐบาล    โดยรวมแล้ว  ไม่ว่ารัฐบาลไหน   เมื่อเข้ามาทำงานก็มักจะทำคล้ายคลึงกันหมด   ความแตกต่างอาจจะมีในรายละเอียดของโครงการหรือในด้านของ  เปอร์เซ็นต์  ที่จะขอตัดจากงบของนักการเมือง   อย่างไรก็ตาม   ความแตกต่างในรายละเอียดนี้มักไม่ทำให้ภาพรวมของผลกระทบทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป   ดังนั้น  ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ  ประเทศก็มักจะเดินไปได้ดีพอ ๆ  กัน  หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ   แย่พอ ๆ  กัน   สิ่งที่แตกต่างกันจริง ๆ  นั้นก็คือเรื่องของ   ภาพพจน์  ว่ารัฐบาลไหนทำได้ดีกว่ากันเท่านั้น

นั่นทำให้ผมนึกถึงสบู่    สบู่นั้นเป็นสิ่งที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ดีเกือบทุกก้อนหรือจะพูดว่าทุกก้อนก็ว่าได้   เพราะบริษัทที่ผลิตสบู่นั้นต่างก็ใช้สูตรเหมือนกันซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำความสะอาดได้ดี    สิ่งที่แตกต่างกันของสบู่แต่ละยี่ห้อที่สำคัญมากก็คือ  กลิ่น  และการโฆษณาอย่างหนักเพื่อที่จะชักนำให้ผู้ใช้เชื่อว่าสบู่ของตนดีกว่าสบู่ยี่ห้ออื่น   แต่สบู่ก็คือสบู่   ถ้ามีใช้และกลิ่นไม่น่าเกลียดเกินไป   ผลลัพธ์ของการใช้ก็ใกล้เคียงกันมาก 

ในเรื่องของการลงทุนนั้น    ผมคิดว่าเรายังมีกิจกรรมที่คล้าย ๆ  กับเรื่องของสบู่อีกหลายเรื่อง    หนึ่งในนั้นก็คือ  เรื่องของการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย   นักวิเคราะห์นั้นมี  สูตร   การทำงานและการเขียนบทวิเคราะห์เหมือนกันหมด    ความ  ถูกผิดของการวิเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำสถิติว่าเป็นอย่างไร   แต่ถึงจะมีคนทำ   ด้วยเหตุที่นักวิเคราะห์แต่ละคนทำนายหุ้นจำนวนมากนับเป็นร้อย ๆ  ครั้งหรือถ้าทำงานมานานอาจจะเป็นพัน ๆ ครั้ง  โดยธรรมชาติแล้วการทายถูกหรือผิดก็อาจจะใกล้เคียงกัน   ดังนั้น  จริง ๆ  แล้วอาจจะไม่มีใครเก่งกว่าใคร    ความ แตกต่างที่อาจจะทำให้คนหนึ่งดูดีหรือเก่งกว่าอีกคนหนึ่งอาจจะอยู่ที่เรื่อง ของความสามารถในการบรรยายหรืออธิบายเหตุผลของบทวิเคราะห์    พูดง่าย ๆ  เป็นเรื่องของภาพพจน์มากกว่าความเป็นจริง

เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ก็คือนักเศรษฐศาสตร์    นี่คือกลุ่มคนที่   อธิบายเรื่องทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาแล้วได้ดีมากแต่ไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม่นยำ   นักเศรษฐศาสตร์นั้น   เนื่องจากทำงานเกี่ยวข้องกับภาพที่ใหญ่มากระดับประเทศหรือระดับโลก    ดังนั้น  หน้าตาหรือภาพพจน์จึงยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด   ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในหน่วยงานที่มีชื่อเสียงหรือมีความสำคัญในการดูแลภาคเศรษฐกิจของรัฐหรือหน่วยงานสาธารณะ  โอกาสที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีฝีมือในการทำนายทายทักก็ยากมาก  และนี่อาจจะรวมไปถึงคุณสมบัติส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ว่าเขาเรียนจบมาจากที่ไหนด้วย    อย่างไรก็ตาม   ผมเองคิดว่า    นักเศรษฐศาสตร์เองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ  กับสบู่เหมือนกันนั่นคือ  นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ดีเหมือนกันหมดหรือแย่เหมือนกันหมดหรือใช้ได้เหมือนกัน    ความแตกต่างอยู่ที่  กลิ่น  นั่นก็คือ  ภาพพจน์ว่าใครสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน

นอกจากเรื่องของการจัดการการลงทุน  การเมือง  การวิเคราะห์หุ้น  และเศรษฐศาสตร์แล้ว  ผมคิดว่ายังมีเรื่องอื่น ๆ  โดยเฉพาะเรื่องทางสังคมศาสตร์อีกมากเช่นฝีมือในการสอนหนังสือของสถาบันการศึกษา  หรือหมอดูชื่อดังต่าง     ซึ่งมักจะอ้างว่าแม่นยำเก่งกว่าคนอื่นนั้น  แท้จริงแล้ว  อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย   กิจกรรมของพวกเขาอาจจะเป็น  สบู่  ที่มีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกันและใช้ได้ใกล้เคียงกัน  ความแตกต่างอยู่ที่กลิ่นหรือภาพพจน์เท่านั้น

ที่เขียนมาทั้งหมด  ต้องการที่จะบอกว่า  ในฐานะที่เป็น  Value Investor เราต้องแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นของจริง   อะไรเป็นเรื่องของภาพพจน์   เรื่องอะไรหรือกิจกรรมอะไรเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มากไม่สามารถจะทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่นหรือทุกคนทำได้แย่พอ ๆ  กัน   ดังนั้น  เราอย่าไปเชื่อว่าคน    หนึ่งเก่งกว่าคนอื่น ๆ  ทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์และเป็นเพียง ภาพ  ที่ปรากฏต่อสาธารณชนเท่านั้น       


12  มกราคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น