ผมมักถูกถามจากคนรู้จักหรือคนที่ติดตามผลงานว่าเขาควรจะซื้อกองทุนรวมของบริษัทไหนดี พูดง่าย ๆ
ว่า
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไหนมีฝีมือดีที่สุด คำตอบของผมทุกครั้งก็คือ
ให้หาบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือในด้านของความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ
และมีความสะดวกในการติดต่อซื้อขายเป็นหลัก ส่วนเรื่องของ “ฝีมือ” ในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าแต่ละบริษัทก็ทำได้ดีพอ ๆ กัน
หรือถ้าจะพูดแบบนักวิชาการก็คือ
แย่พอ ๆ กัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บลจ. ส่วนมากนั้น ผมคิดว่ามีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ใกล้เคียงกันและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ถ้าจะมีอะไรแตกต่างกัน
ผมคิดว่าเป็นเรื่องของภาพพจน์ที่บริษัทสร้างขึ้นหรือเป็นภาพที่คนมองว่าบริษัทหนึ่งเหนือกว่าหรือดีกว่าอีกบริษัทหนึ่งเท่านั้น และภาพพจน์ที่ว่านั้นก็มักจะเปลี่ยนไปเรื่อย
ๆ ตามกาลเวลาหรือตามผลการบริหารกองทุนที่เปลี่ยนไปตามภาวะของตลาดและกลยุทธ์การเลือกหุ้นของบริษัท
เช่นเดียวกัน
นักลงทุนต่างก็ตั้งความหวังกับรัฐบาลในการแก้ไขหรือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
คนมักจะคิดว่ารัฐบาลชุดนั้นเก่งมีฝีมือในการบริหารประเทศมากกว่าอีกชุดหนึ่งเพราะในช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจเจริญเติบโตมากกว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจมีน้อยกว่า
หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาได้ยินมาตรการและคำพูดหรือศัพท์แสงทางเศรษฐกิจที่ดูก้าวหน้าหรือมี “ภูมิปัญญา” มากกว่า แต่ในความคิดผมเองนั้น
ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลชุดไหนมีความสามารถมากกว่าชุดไหน เพราะการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลกับอีกรัฐบาลหนึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเราทำไม่ได้ รัฐบาลหนึ่งอาจจะมีฝีมือดี แต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมแย่มาก ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาแย่มาก และคนก็คิดว่ารัฐบาลบริหารไม่เป็น
รัฐบาลบางรัฐบาลอาจจะไม่มีฝีมืออะไรเลยแต่ประเทศและโลกอยู่ในภาวะเฟื่องฟูเศรษฐกิจก็ไปได้ฉลุย ทุกคนบอกว่ารัฐบาลเก่ง
ความคิดของผมก็คือ
รัฐบาลแต่ละรัฐบาลก็คล้าย ๆ
กัน
เมื่อเข้ามาแล้วสิ่งที่รัฐบาลทำแล้วมีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริง ๆ ในระยะเวลาอันสั้นก็คือ การจัดสรรงบประมาณ
ซึ่งงบส่วนใหญ่ก็มักจะถูกกำหนดกันหมดแล้วเช่นเรื่องของเงินเดือนและงบผูกพันทั้งหลาย
งบประมาณอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่มากนักก็จะถูกจัดสรรและกระจายออกไปสู่ประชาชนและธุรกิจทั้งหลายและแน่นอนกลับไปสู่นักการเมืองที่มักจะมี “เปอร์เซ็นต์มาตรฐาน” ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ถือว่าเป็น
“ผลงาน” ของรัฐบาล โดยรวมแล้ว
ไม่ว่ารัฐบาลไหน
เมื่อเข้ามาทำงานก็มักจะทำคล้ายคลึงกันหมด
ความแตกต่างอาจจะมีในรายละเอียดของโครงการหรือในด้านของ “เปอร์เซ็นต์” ที่จะขอตัดจากงบของนักการเมือง อย่างไรก็ตาม
ความแตกต่างในรายละเอียดนี้มักไม่ทำให้ภาพรวมของผลกระทบทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ดังนั้น
ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ
ประเทศก็มักจะเดินไปได้ดีพอ ๆ
กัน
หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ แย่พอ
ๆ กัน
สิ่งที่แตกต่างกันจริง ๆ
นั้นก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ว่ารัฐบาลไหนทำได้ดีกว่ากันเท่านั้น
นั่นทำให้ผมนึกถึงสบู่
สบู่นั้นเป็นสิ่งที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ดีเกือบทุกก้อนหรือจะพูดว่าทุกก้อนก็ว่าได้
เพราะบริษัทที่ผลิตสบู่นั้นต่างก็ใช้สูตรเหมือนกันซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำความสะอาดได้ดี สิ่งที่แตกต่างกันของสบู่แต่ละยี่ห้อที่สำคัญมากก็คือ กลิ่น
และการโฆษณาอย่างหนักเพื่อที่จะชักนำให้ผู้ใช้เชื่อว่าสบู่ของตนดีกว่าสบู่ยี่ห้ออื่น แต่สบู่ก็คือสบู่ ถ้ามีใช้และกลิ่นไม่น่าเกลียดเกินไป ผลลัพธ์ของการใช้ก็ใกล้เคียงกันมาก
ในเรื่องของการลงทุนนั้น
ผมคิดว่าเรายังมีกิจกรรมที่คล้าย ๆ
กับเรื่องของสบู่อีกหลายเรื่อง
หนึ่งในนั้นก็คือ
เรื่องของการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย นักวิเคราะห์นั้นมี “สูตร” การทำงานและการเขียนบทวิเคราะห์เหมือนกันหมด ความ
“ถูกผิด” ของการวิเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำสถิติว่าเป็นอย่างไร
แต่ถึงจะมีคนทำ
ด้วยเหตุที่นักวิเคราะห์แต่ละคนทำนายหุ้นจำนวนมากนับเป็นร้อย ๆ ครั้งหรือถ้าทำงานมานานอาจจะเป็นพัน ๆ ครั้ง
โดยธรรมชาติแล้วการทายถูกหรือผิดก็อาจจะใกล้เคียงกัน ดังนั้น
จริง ๆ
แล้วอาจจะไม่มีใครเก่งกว่าใคร
ความ แตกต่างที่อาจจะทำให้คนหนึ่งดูดีหรือเก่งกว่าอีกคนหนึ่งอาจจะอยู่ที่เรื่อง
ของความสามารถในการบรรยายหรืออธิบายเหตุผลของบทวิเคราะห์ พูดง่าย ๆ
เป็นเรื่องของภาพพจน์มากกว่าความเป็นจริง
เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ก็คือนักเศรษฐศาสตร์ นี่คือกลุ่มคนที่ “อธิบายเรื่องทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาแล้วได้ดีมากแต่ไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม่นยำ” นักเศรษฐศาสตร์นั้น
เนื่องจากทำงานเกี่ยวข้องกับภาพที่ใหญ่มากระดับประเทศหรือระดับโลก ดังนั้น
หน้าตาหรือภาพพจน์จึงยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในหน่วยงานที่มีชื่อเสียงหรือมีความสำคัญในการดูแลภาคเศรษฐกิจของรัฐหรือหน่วยงานสาธารณะ
โอกาสที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีฝีมือในการทำนายทายทักก็ยากมาก
และนี่อาจจะรวมไปถึงคุณสมบัติส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ว่าเขาเรียนจบมาจากที่ไหนด้วย อย่างไรก็ตาม ผมเองคิดว่า นักเศรษฐศาสตร์เองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับสบู่เหมือนกันนั่นคือ
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ดีเหมือนกันหมดหรือแย่เหมือนกันหมดหรือใช้ได้เหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่ “กลิ่น” นั่นก็คือ
ภาพพจน์ว่าใครสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน
นอกจากเรื่องของการจัดการการลงทุน การเมือง
การวิเคราะห์หุ้น
และเศรษฐศาสตร์แล้ว
ผมคิดว่ายังมีเรื่องอื่น ๆ
โดยเฉพาะเรื่องทางสังคมศาสตร์อีกมากเช่นฝีมือในการสอนหนังสือของสถาบันการศึกษา หรือหมอดูชื่อดังต่าง ๆ
ซึ่งมักจะอ้างว่าแม่นยำเก่งกว่าคนอื่นนั้น
แท้จริงแล้ว
อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
กิจกรรมของพวกเขาอาจจะเป็น “สบู่” ที่มีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกันและใช้ได้ใกล้เคียงกัน ความแตกต่างอยู่ที่กลิ่นหรือภาพพจน์เท่านั้น
ที่เขียนมาทั้งหมด
ต้องการที่จะบอกว่า
ในฐานะที่เป็น Value
Investor เราต้องแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นเรื่องของภาพพจน์
เรื่องอะไรหรือกิจกรรมอะไรเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มากไม่สามารถจะทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่นหรือทุกคนทำได้แย่พอ
ๆ กัน
ดังนั้น เราอย่าไปเชื่อว่าคน ๆ
หนึ่งเก่งกว่าคนอื่น ๆ
ทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์และเป็นเพียง “ภาพ” ที่ปรากฏต่อสาธารณชนเท่านั้น
12 มกราคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น