วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

51 VS 19


การเป็นนักลงทุนนั้นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นรอบตัวที่อาจส่งผลต่อการลงทุนของเราได้   การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องจับตามอง   เพราะแม้ว่าโดยทั่วไปการเมืองมักจะไม่ช่วยส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น   แต่มันอาจจะทำลายการลงทุนได้   โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เรามีวิกฤติการเมืองที่ร้ายแรง    ที่น่าเศร้าก็คือ   มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ  กับวิกฤติเศรษฐกิจ    ในเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจนั้น  ผมได้เขียนเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ไปแล้ว    ตอนนี้เราลองมาเปรียบเทียบวิกฤติการเมืองในขณะนี้กับเหตุวิกฤติที่คล้ายคลึงกันซึ่งผมคิดว่ามันคือวิกฤติการเมืองในช่วง   14  ตุลาคม 2516  ถึง  6 ตุลาคม 2519  ลองมาดูกันว่ามันเหมือนและต่างกันอย่างไร

ผมจะเริ่มจากเหตุการณ์  14 ตุลาคม 2516  ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากทหารโดยการเคลื่อนไหวประท้วงของกลุ่มคนที่นำโดยนักศึกษาที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านั้นและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนทั่วไป   เหตุการณ์   14 ตุลาคม  นั้นผมคิดว่าคล้าย ๆ  กับเหตุการณ์ปฏิวัติของทหารในเดือนกันยายน 2549  ที่มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  โดยที่การปฏิวัตินั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประท้วงโดยกลุ่ม พันธมิตร  ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง 

หลังจากการ  ปฏิวัติประชาชน  14 ตุลาคม  และมีรัฐบาลใหม่  กลุ่มนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้หยุดการประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น  มีการจัดการและการ  ให้ความรู้  กระจายไปทั่วประเทศอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มนักศึกษาที่มีความคิดเห็น  รุนแรง  ต้องการเห็น  ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน  ขจัดความชั่วร้ายในสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบ  ต้องการสร้าง  สังคมใหม่   ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบอย่างไร    แนวความคิดของกลุ่มนักศึกษานั้น  ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น  ฝ่ายซ้ายที่ต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้าตามแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนรากหญ้า   ซึ่งทั้งหมดก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มที่เป็นนักศึกษาที่มีอายุน้อย

หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติกันยายน 2549  และมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง  กลุ่มพันธมิตรไม่ได้หยุดประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น   มีการจัดการและการ  ให้ความรู้  กระจายไปทั่วประเทศผ่านสื่อทันสมัยทุกรูปแบบรวมถึงทีวี  โดยกลุ่มคนที่มีความคิดเห็น  รุนแรง  ต้องการขจัด  ความชั่วร้ายของนักการเมืองที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่   ต้องการสร้าง การเมืองใหม่ซึ่งก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบและที่มาได้อย่างไร   แนวความคิดของกลุ่มนั้น   ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น  ฝ่ายขวาหรือ  จารีตนิยม  ไม่ต้องการให้ประเทศเดินตามแนวทางสากลที่  ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย  ซึ่งก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกจำนวนมากของกลุ่มที่มีอายุค่อนข้างสูง

จากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม  ก็เกิดกลุ่มประชาชนโดยการสนับสนุนของฝ่ายรัฐ  ออกมาต่อต้าน    มีการเผยแพร่และชี้ให้เห็นถึงความ   เลวร้ายและความเสียหาย  ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง    เช่นเดียวกัน  ในปี 2551 ก็เกิดกลุ่มที่ออกมาต่อต้านกลุ่มพันธมิตรโดยน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐเช่นเดียวกัน  และมีการเผยแพร่    ความเลวร้ายและความเสียหาย  ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มพันธมิตรว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง

ในช่วงหลังจาก 14 ตุลา 16 ถึง  6 ตุลา 19  ประชาชนมีความแตกแยกทางความคิดสูงมาก  แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันก็ยังมีปัญหา   มีการทำร้ายกันและมีคนตายเป็นระยะ ๆ  และมีการกล่าวหากันทั้งสองฝ่าย   คนจำนวนมากห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงและอาจถึงกับทำให้ประเทศ  ล่มสลาย   บางคนคิดถึงเรื่องการเตรียม  หนีออกจากประเทศถ้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น

ณ. วันนี้  ในปี 2551  นี้  ประชาชนแตกแยกกันสูงมากไม่ต่างกับช่วง ตุลา 16 - ตุลา 19   คนในบ้านเดียวกันที่มีความคิดเห็นต่างกันก็มีให้เห็นจำนวนมากไม่ต้องพูดถึงเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก   การทำร้ายกันถึงแก่ชีวิตก็เกิดขึ้นเป็นระยะเช่นเดียวกันและต่างก็กล่าวหากันตลอดเวลา   คนจำนวนมากห่วงว่าเหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้นและอาจทำให้ประเทศ ล่มสลาย  บางคนคิดในใจว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเขาจะอยู่ที่ไหน

วันที่ 6 ตุลาคม 19  เหตุการณ์  สงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้นระหว่างประชาชนสองฝ่าย   การปฏิวัติเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและบ้านเมืองเข้าสู่  ยุคมืด  ที่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแบบสากล  แต่หลังจากนั้นไม่นาน  บ้านเมืองก็กลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งและต่อมาจนถึงขณะนี้แม้ว่าจะมีการสะดุดบ้างเล็ก ๆ  น้อย ๆ เป็นระยะ

ในวันนี้  เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมาก   โดยเฉพาะถ้ามองจากประวัติศาสตร์  เรากำลังเสี่ยงที่บ้านเมืองอาจจะต้องกลับไปสู่  ยุคมืด  ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้ามากมายเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว    ความเสี่ยงที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ  ถ้าเราเข้าสู่  ยุคมืดจริง  เราจะสามารถออกไปได้เร็วแค่ไหน  หรือออกไม่ได้เลย 

ผมเขียนมาทั้งหมดนี้   อาจจะทำให้นักลงทุนหลายคนตกใจกลัวและคิดว่าเราควรจะลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้นทิ้งให้หมด    แต่ผมเองนั้น   ไม่ได้ขายหุ้นเลย   เหตุผลก็คือ  หุ้นมันได้ลงมาเยอะมากแล้ว    ถ้าขายตอนนี้ก็จะขาดทุนมาก   นอกจากนั้น   สิ่งที่เรากลัวอาจจะไม่เกิดขึ้น   โอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่มากอย่างที่เรากลัว    นอกจากนั้น  ถ้ามันเกิดจริง   หุ้นก็อาจจะไม่ตกลงไปอีกก็ได้เพราะคนอาจคิดว่าเรื่องต่าง    ที่เลวร้ายจะได้จบลงเสียที    แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ   ผมคิดว่า   คนไทยผ่านชีวิตที่มีอิสรภาพมาพอสมควรที่จะไม่ยอมสละสิ่งนั้นไปไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร   และโลกสมัยใหม่นั้น   ไม่น่าจะมีประเทศที่มีระดับการพัฒนาเท่าประเทศไทยสามารถที่จะอยู่ใน  ยุคมืดได้   ดังนั้น   ถ้าผมถือหุ้นที่ดีแล้ว   ผมก็จะยังถือมันต่อไป  Stay Calm, Stay Invest.


2  ธันวาคม  2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น