การเป็นนักลงทุนนั้นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นรอบตัวที่อาจส่งผลต่อการลงทุนของเราได้
การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่เราต้องจับตามอง
เพราะแม้ว่าโดยทั่วไปการเมืองมักจะไม่ช่วยส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มันอาจจะทำลายการลงทุนได้
โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เรามีวิกฤติการเมืองที่ร้ายแรง ที่น่าเศร้าก็คือ มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับวิกฤติเศรษฐกิจ ในเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจนั้น ผมได้เขียนเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี
2540 ไปแล้ว ตอนนี้เราลองมาเปรียบเทียบวิกฤติการเมืองในขณะนี้กับเหตุวิกฤติที่คล้ายคลึงกันซึ่งผมคิดว่ามันคือวิกฤติการเมืองในช่วง 14
ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519
ลองมาดูกันว่ามันเหมือนและต่างกันอย่างไร
ผมจะเริ่มจากเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516
ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มาจากทหารโดยการเคลื่อนไหวประท้วงของกลุ่มคนที่นำโดยนักศึกษาที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านั้นและได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาชนทั่วไป เหตุการณ์
14 ตุลาคม นั้นผมคิดว่าคล้าย
ๆ
กับเหตุการณ์ปฏิวัติของทหารในเดือนกันยายน 2549
ที่มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่การปฏิวัตินั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประท้วงโดยกลุ่ม
“พันธมิตร” ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง
หลังจากการ “ปฏิวัติประชาชน” 14 ตุลาคม และมีรัฐบาลใหม่
กลุ่มนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้หยุดการประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น มีการจัดการและการ “ให้ความรู้” กระจายไปทั่วประเทศอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มนักศึกษาที่มีความคิดเห็น “รุนแรง” ต้องการเห็น “ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ขจัดความชั่วร้ายในสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบ ต้องการสร้าง
“ สังคมใหม่” ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบอย่างไร แนวความคิดของกลุ่มนักศึกษานั้น ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น “ฝ่ายซ้าย” ที่ต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้าตามแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนรากหญ้า
ซึ่งทั้งหมดก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มที่เป็นนักศึกษาที่มีอายุน้อย
หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติกันยายน 2549 และมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง
กลุ่มพันธมิตรไม่ได้หยุดประท้วงหรือชุมนุมแต่การประท้วงกลับเข้มข้นขึ้น มีการจัดการและการ “ให้ความรู้” กระจายไปทั่วประเทศผ่านสื่อทันสมัยทุกรูปแบบรวมถึงทีวี โดยกลุ่มคนที่มีความคิดเห็น “รุนแรง” ต้องการขจัด “ความชั่วร้ายของนักการเมือง”
ที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่
ต้องการสร้าง “การเมืองใหม่” ซึ่งก็ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบและที่มาได้อย่างไร แนวความคิดของกลุ่มนั้น ถ้าพูดในภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น “ฝ่ายขวา” หรือ “จารีตนิยม” ไม่ต้องการให้ประเทศเดินตามแนวทางสากลที่ “ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย” ซึ่งก็สอดคล้องกับลักษณะของสมาชิกจำนวนมากของกลุ่มที่มีอายุค่อนข้างสูง
จากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานหลังเหตุการณ์
14 ตุลาคม ก็เกิดกลุ่มประชาชนโดยการสนับสนุนของฝ่ายรัฐ ออกมาต่อต้าน มีการเผยแพร่และชี้ให้เห็นถึงความ “เลวร้ายและความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกัน ในปี 2551
ก็เกิดกลุ่มที่ออกมาต่อต้านกลุ่มพันธมิตรโดยน่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐเช่นเดียวกัน และมีการเผยแพร่ “ความเลวร้ายและความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากกลุ่มพันธมิตรว่าจะนำประเทศไปสู่หายนะโดยผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง
ในช่วงหลังจาก 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19
ประชาชนมีความแตกแยกทางความคิดสูงมาก
แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันก็ยังมีปัญหา
มีการทำร้ายกันและมีคนตายเป็นระยะ ๆ
และมีการกล่าวหากันทั้งสองฝ่าย
คนจำนวนมากห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงและอาจถึงกับทำให้ประเทศ “ล่มสลาย” บางคนคิดถึงเรื่องการเตรียม หนีออกจากประเทศถ้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
ณ. วันนี้ ในปี
2551 นี้
ประชาชนแตกแยกกันสูงมากไม่ต่างกับช่วง ตุลา 16 - ตุลา 19 คนในบ้านเดียวกันที่มีความคิดเห็นต่างกันก็มีให้เห็นจำนวนมากไม่ต้องพูดถึงเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก การทำร้ายกันถึงแก่ชีวิตก็เกิดขึ้นเป็นระยะเช่นเดียวกันและต่างก็กล่าวหากันตลอดเวลา
คนจำนวนมากห่วงว่าเหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้นและอาจทำให้ประเทศ “ล่มสลาย” บางคนคิดในใจว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเขาจะอยู่ที่ไหน
วันที่ 6 ตุลาคม 19
เหตุการณ์ “สงครามกลางเมือง” ก็เกิดขึ้นระหว่างประชาชนสองฝ่าย
การปฏิวัติเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและบ้านเมืองเข้าสู่ “ยุคมืด” ที่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแบบสากล แต่หลังจากนั้นไม่นาน
บ้านเมืองก็กลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งและต่อมาจนถึงขณะนี้แม้ว่าจะมีการสะดุดบ้างเล็ก
ๆ น้อย ๆ เป็นระยะ
ในวันนี้
เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมาก
โดยเฉพาะถ้ามองจากประวัติศาสตร์ เรากำลังเสี่ยงที่บ้านเมืองอาจจะต้องกลับไปสู่ “ยุคมืด” ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้ามากมายเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยเมื่อ
30 ปีที่แล้ว
ความเสี่ยงที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ
ถ้าเราเข้าสู่ “ยุคมืด” จริง
เราจะสามารถออกไปได้เร็วแค่ไหน
หรือออกไม่ได้เลย
ผมเขียนมาทั้งหมดนี้
อาจจะทำให้นักลงทุนหลายคนตกใจกลัวและคิดว่าเราควรจะลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้นทิ้งให้หมด แต่ผมเองนั้น ไม่ได้ขายหุ้นเลย เหตุผลก็คือ
หุ้นมันได้ลงมาเยอะมากแล้ว
ถ้าขายตอนนี้ก็จะขาดทุนมาก
นอกจากนั้น
สิ่งที่เรากลัวอาจจะไม่เกิดขึ้น
โอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่มากอย่างที่เรากลัว นอกจากนั้น
ถ้ามันเกิดจริง
หุ้นก็อาจจะไม่ตกลงไปอีกก็ได้เพราะคนอาจคิดว่าเรื่องต่าง ๆ
ที่เลวร้ายจะได้จบลงเสียที
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ
ผมคิดว่า
คนไทยผ่านชีวิตที่มีอิสรภาพมาพอสมควรที่จะไม่ยอมสละสิ่งนั้นไปไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร และโลกสมัยใหม่นั้น
ไม่น่าจะมีประเทศที่มีระดับการพัฒนาเท่าประเทศไทยสามารถที่จะอยู่ใน “ยุคมืด”
ได้ ดังนั้น ถ้าผมถือหุ้นที่ดีแล้ว ผมก็จะยังถือมันต่อไป Stay Calm, Stay Invest.
2 ธันวาคม
2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น