วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ใช้มาร์จินลงทุน


ในการลงทุนทำธุรกิจโดยทั่วไปนั้น   เราต้องมีเงินส่วนตัวหรือเงินจากหุ้นส่วนมาร่วมกันลงทุน   นอกจากเงินที่เป็น  ส่วนของเจ้าของแล้ว   ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังมักจะ  กู้เงิน  หรือยืมเงินคนอื่นมาใช้ในการลงทุนด้วย   ในเรื่องของธุรกิจแล้ว  เงินที่กู้มามักจะมีมากกว่าเงินในส่วนของเจ้าของเองด้วยซ้ำ  ดังนั้น   เงินกู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด  ถ้าขาดเงินกู้  โครงการหรือธุรกิจก็เดินไม่ได้  หรือไม่อย่างนั้น  เราก็ต้องลดขนาดของธุรกิจลง   การลดขนาดของธุรกิจลงก็ทำให้กำไรลดน้อยลง   ผลตอบแทนการลงทุนของเราก็น้อยลง  การลงทุนก็อาจจะไม่คุ้มค่า  สรุปอย่างง่ายก็คือ  เรากู้เงินมาใช้ก็เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเรา

แต่การกู้เงินมาใช้นั้นมีความเสี่ยง   เพราะเงินกู้นั้นต้องมีกำหนดเวลาใช้คืนและต้องมีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย   บางทีทุกเดือน   ถ้าบริหารกระแสเงินสดไม่ดี  และ/หรือ ธุรกิจเกิดประสบปัญหาขาดทุน  เราอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย  เงินส่วนของเราก็สูญไปด้วย    หรือในกรณีที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก   เราอาจจะไม่ถึงกับล้มละลาย   แต่ธุรกิจทำกำไรได้น้อยในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่า   แบบนี้แทนที่เราจะได้กำไรบ้างถ้าเราไม่ได้กู้เงิน   เราก็อาจจะไม่มีกำไรเลยหรือขาดทุนได้   ดังนั้น  การที่เราจะกู้เงินหรือไม่จึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนักว่า   ระหว่างผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้เพิ่มขึ้น   กับความเสี่ยงที่ว่าเราอาจจะล้มละลายหรือผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุน   เราจะเลือกอย่างไหน?

               สำหรับ  นักธุรกิจแล้ว   ส่วนใหญ่มักจะเลือกการกู้เงิน   เพราะการลงทุนทำธุรกิจมักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง  บางทีเกินกำลังเงินส่วนตัวที่มีอยู่   นอกจากนั้น  นักธุรกิจมักมองว่าผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย  ดังนั้น  การกู้เงินจะทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น   ส่วนความเสี่ยงที่จะล้มละลาย   เขามักจะให้ความใส่ใจน้อยกว่า  เขาคงคิดว่าเขาเข้าใจและรู้จักธุรกิจดีพอ  เหนือสิ่งอื่นใด  เขาเป็นคน  คุมธุรกิจ  นั้นเอง    แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ   เขาอาจจะคิดว่า  ถ้าเลวร้ายมากและธุรกิจต้องล้มละลาย  เขาก็แค่เสียเงินส่วนตัวที่ลงทุนไปเท่านั้นและก็อาจจะเป็นเงินที่ไม่มาก   และหลังจากล้มละลายเพียง 3-4 ปีเขาก็  หลุด  จากการล้มละลายและกลับมาลองใหม่ได้อีก   แต่ถ้าเขาโชคดี  ธุรกิจประสบความสำเร็จงดงาม  กำไรของเขาจะมหาศาลและมากกว่าการไม่กู้เงินหลายเท่า   ดังนั้น  สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว  เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด  เขารู้ว่านี่เป็น เกม  ที่เขาได้เปรียบ   คือ  ถ้าเขาชนะ  เขาได้  10  ถ้าแพ้  อย่างมากเขาก็เสีย  1  คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ  ก็คือคนให้กู้  ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา

                การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ  การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน   สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ  สำหรับผมก็คือ  ผมสามารถค่อย ๆ  ทยอยลงทุนทีละน้อยไปเรื่อย ๆ  เมื่อมีเงินเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งไหนก็ตาม   อีกความแตกต่างหนึ่งก็คือ   การกู้เงินมาใช้ซื้อหุ้นลงทุนนั้น  สถาบันการเงินอื่นมักไม่ให้กู้   จะมีก็แต่โบรกเกอร์ที่เราเป็นลูกค้าอยู่ที่จะให้กู้ที่เรียกกันว่าการซื้อหุ้นด้วย  มาร์จิน   แต่โบรกเกอร์นั้นก็ให้กู้แบบมีข้อจำกัด  นั่นคือ  เราไม่สามารถกู้ได้เกินหนึ่งเท่าของเงินส่วนตัวที่เราเอามาลงทุน   และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ  เราจะกู้ได้เฉพาะเพื่อที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง   เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่องพอได้

                ด้วยข้อจำกัดในการกู้ดังกล่าว   ประกอบกับการที่ผมค่อนข้างที่จะเน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นพิเศษเนื่องจากเราไม่อยู่ในฐานะที่เสี่ยงต่อความสูญเสียที่รุนแรงได้   ผมจึงเลือกที่จะลงทุนโดยไม่กู้เลยตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนตัวของผมเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว   ผมรู้สึกว่า  ผมไม่จำเป็นที่จะต้อง  เร่ง  ผลตอบแทนการลงทุนไปมากกว่านั้น   ว่าที่จริง   การลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดนั้น   ถ้ามันให้ผลตอบแทนที่พอสมควรเช่นปีละ 10%  เงินมันก็โตเร็วมากอยู่แล้ว  พูดโดยสรุปก็คือ  การลงทุนโดยการกู้หรือที่เรียกว่าซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จิน   ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลยมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประมาณปี  2538 หรือ 2539

                ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน  2551 หรือปลายปีที่แล้ว  วิกฤติเศรษฐกิจก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว  ภายในเวลาเดือนเดียวดัชนีตกลงมาเข้าใจว่าเกือบ 30%  หุ้นจำนวนมากมีราคาตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ   หลายบริษัททำกิจการที่ผมมั่นใจว่าจะต้องอยู่ต่อไปในประเทศไทยและจะกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิมและมากกว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป   แต่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำเกินความเป็นจริง   โอกาสในการลงทุนเกิดขึ้นแต่ผมกลับไม่มีเงินสดเลยเพราะผมถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว  ผมไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตเพราะหุ้นเหล่านั้นก็มีราคาต่ำเกินไปเหมือนกัน    ดังนั้น  ผมจึงตัดสินใจ  กู้  โดยการเปิดพอร์ตการซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเป็นครั้งแรก  

                การกู้เงินซื้อหุ้นของผมนั้น  ผมคิดไว้ว่า  ข้อหนึ่ง  มันไม่ควรมากกว่า 10-20% ของมูลค่าพอร์ต   ข้อสอง  หุ้นที่ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีที่เราสามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็วถ้าจำเป็นแต่ที่สำคัญเท่า ๆ  กันก็คือ  ข้อสาม  หุ้นจะต้องมีราคาต่ำมากและกำไรของบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะสูงผิดปกติ  ตรงกันข้าม  มันควรที่จะมีกำไรลดลงไปมากแต่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นในเวลาไม่นานนัก  และสุดท้าย   เราต้องมี  Exit Strategy  หรือ  ทางออกจากหนี้  ซึ่ง  สำหรับผมก็คือ  การนำเงินปันผลที่จะได้มาจากพอร์ตโดยรวมมาลดหนี้   การทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อมันมีราคาเพิ่มขึ้น  และถ้าจำเป็น  อาจต้องขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาล้างหนี้

                ผมโชคดีที่การตัดสินใจถูกต้อง  เพราะหลังจากนั้น  ราคาหุ้นที่ซื้อมาปรับตัวขึ้นมาก  และแม้ว่าหนี้ก็ยังคงอยู่แต่พอร์ตก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก   ความเสี่ยงจากการกู้ไม่สูงนัก  อย่างไรก็ตาม  ผมตระหนักอยู่เสมอว่า  หนี้นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย  เราต้องมองป้าย  ทางออก  อยู่เสมอ   และถ้าไม่มั่นใจจริง    ก็  อย่าลอง  จะดีกว่า


29  มิถุนายน  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น