วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความน่าจะเป็น


          วิธีคิดเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญมากต่อการที่จะเป็นนักวิเคราะห์หุ้นแบบ Value Investment ที่ดีก็คือ  การคิดคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตแบบที่ใส่  ความน่าจะเป็น  หรือ  Probability เข้าไปด้วย 

          ลองมาคาดดูสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เราก็จะพบว่ามีเหตุการณ์น้อยมากหรือแทบไม่มีเลยที่มีความแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้น  แต่เหตุการณ์บางอย่างนั้นมักจะมีความ  แน่นอน  หรือมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงกว่าเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งมาก

            โอกาสที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันพรุ่งนี้เป็นเท่าไร?   ร้อยเปอร์เซ็นต์!  โอกาสที่ฝนจะตกในวันพรุ่งนี้ที่กรุงเทพและที่ถนนรางน้ำเป็นเท่าไร?   นักพยากรณ์อากาศอาจจะบอกว่า 80%  โดยพิจารณาจากภาพถ่ายของกลุ่มเมฆหนาที่ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือกรุงเทพในวันนี้   แต่ถ้าถามใหม่ว่าฝนจะตกไหมในอีก 7 วันข้างหน้า?  คำตอบอาจจะเป็น  50-50 โดยที่นักพยากรณ์ไม่ได้ดูกลุ่มเมฆแต่ดูว่าในช่วงฤดูฝนในประเทศไทยนั้น  โอกาสที่ฝนจะตกในแต่ละวันคือ  50%

          การพยากรณ์นั้น  ดูเหมือนว่าถ้าพยากรณ์ในระยะเวลาสั้น    ในอนาคต   โอกาสที่จะพยากรณ์ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงจะสูงกว่าการพยากรณ์อะไรที่อยู่ห่างออกไป  เหตุผลก็คือ  ในการพยากรณ์นั้น  เรามักจะมีข้อมูลต่าง ๆ  มาสนับสนุนเช่นกลุ่มเมฆที่ปรากฏขึ้น  และเมฆนั้นเป็นตัวชี้ว่าในไม่ช้ามันจะกลั่นตัวเป็นฝน

            ถามว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือหุ้นจะลง?  ข้อมูลที่มีอยู่ก็คือราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันนี้  ทั้งในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ   นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่าถ้าวันนี้หุ้นขึ้นแรงและมีปริมาณการซื้อขายมาก  พรุ่งนี้ดัชนีหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น   เขาอาจจะบอกว่าพรุ่งนี้หุ้น  น่าจะขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตลาดหุ้นนิวยอร์คเปิดแล้วหุ้นวิ่งขึ้น   เพราะเขาเชื่อว่าหุ้นไทยนั้น  มักจะปรับตัวขึ้นลงตามหุ้นนิวยอร์ค  แต่ถ้าถามต่อไปว่าหุ้นขึ้นแล้วยังไง?  เราจะเข้าไปซื้อหรือ?  ถ้าซื้อก็แปลว่าเราซื้อแพง  แล้ววันต่อไปมันลงเรามิขาดทุนหรือ?   ดังนั้น   การคาดการณ์แบบนี้แม้ว่าจะถูกแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการที่จะทำให้เราได้กำไรได้   และนี่ยังไม่ได้รวมถึงค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายที่อาจจะกินกำไรของเราไปอีก
            นักลงทุนหลายคนกลัวไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ปี2009  ดังนั้นเขาขายหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวออกหมดเพราะเขาคิดว่าถ้ามันลามไปมาก ๆ  การท่องเที่ยวจะถูกกระทบหนัก  คนจะไม่เดินทาง   แต่ถามว่าโอกาสที่มันจะลามไปอย่างควบคุมไม่ได้นั้นมีกี่เปอร์เซ็นต์?  เขาอาจจะไม่ได้คิด   แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือ  ราคาหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอาจจะตกต่ำลงไปมากแล้วจนมันคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินของบริษัท  พูดง่าย ๆ  ถ้าจะสร้างทรัพย์สินแบบเดียวกัน   จะต้องใช้เงินมากกว่าการซื้อหุ้นมาก

            ในกรณีดังกล่าว  เราลองตั้งคำถามใหม่ว่า   โอกาสที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่จะยังมีผลต่อการท่องเที่ยวเดินทางในอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้นเป็นเท่าไร?  คำตอบของเราอาจจะเป็นว่า  น้อยมาก  เหตุผลก็คือ  เมื่อถึงเวลานั้น  โลกอาจมีวัคซีนที่แพร่หลายแล้ว   ไข้หวัดอาจจะหายไปหรือกลายเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันแล้ว  หรือทุกประเทศก็มีการติดเชื้อใกล้เคียงกัน  จะอยู่หรือไปที่ไหนก็เหมือนกัน   ดังนั้น  ผลประกอบการของบริษัทท่องเที่ยวเดินทางก็น่าจะกลับมาเหมือนเดิมในอีก 2-3 ปี  และถ้าราคาหุ้นได้ตกลงมามากมายเช่นเหลือเพียงครึ่งเดียว   การลงทุนในหุ้นดังกล่าวก็อาจจะมีโอกาสได้กำไร  100% ในเวลา 2-3 ปี ซึ่งคุ้มค่ามากในการลงทุน

            ถามว่าวิกฤติเศรษฐกิจนั้น  จะฟื้นไหมในช่วงครึ่งปีหลัง?  โอกาสอาจจะเป็น 50-50 หรือ 50%   ถ้าเราเปลี่ยนคำถามใหม่เป็นว่า  โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นในปีหน้าเป็นเท่าไร?   คำตอบอาจจะเป็น 70%  โอกาสที่จะฟื้นในอีก 2 ปีข้างหน้าเป็นเท่าไร?  คำตอบอาจจะเป็น 80%  ถ้า  3 ปี  อาจจะเป็น 90% หรือมากกว่า   การยืดเวลาทำให้ความแน่นอนหรือความเป็นไปได้สูงขึ้น   และถ้าเรามั่นใจมากว่าภายในเวลา 3-4 ปีเศรษฐกิจต้องฟื้นแน่  คำถามต่อไปก็ง่ายขึ้น  นั่นคือ   บริษัทไหนจะได้ประโยชน์แน่ ๆ  และกำไรของบริษัทจะต้องกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิมก่อนที่จะเกิดวิกฤติ?   หลังจากนั้นก็มาดูว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำลงมาแค่ไหนและราคาควรจะกลับไปที่เดิมได้หรือไม่?  ทั้งหมดนั้น  แน่นอน  เป็นการคาดการณ์  แต่ที่สำคัญก็คือ  ความน่าจะเป็น  เป็นเท่าไร   ถ้าคำตอบก็คือ  สูงมาก  เช่น  80-90%   แบบนี้  ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวที่ราคาตกลงมาครึ่งหนึ่ง   ก็มีโอกาสสูงที่เราจะกำไร 100%  ในเวลา 3-4 ปีซึ่งคุ้มค่ามาก


            เท็คนิคในการ  ยืดเวลา  เพื่อ เพิ่มความแน่นอนในการพยากรณ์นี้  ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสามัญสำนึกปกติของคนที่ว่า  ยิ่งนานยิ่งไม่แน่นอน  เพราะ  ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก   แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเหตุการณ์หรือสิ่งที่ผมยกมานั้นเป็นเรื่องที่รุนแรงและไม่ปกติ   ซึ่งเรื่องแบบนี้มักจะไม่สามารถอยู่ได้นานมาก  เวลาจะช่วยรักษาหรือแก้ไขให้มันกลับมาสู่ภาวะปกติ   ดังนั้น  ถ้าเรา ทนรอได้   เราก็อยู่ในสถานะที่จะฉกฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นเนื่องจากคนส่วนใหญ่  รอไม่ได้

          สำหรับผมเองนั้น  การลงทุนหรือการที่จะซื้อหุ้นตัวไหนนั้น  ผมต้องการ  ความแน่นอน  ซึ่งแน่นอน  ไม่ใช่โอกาสเกิดขึ้นต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นไปไม่ได้   แต่ผมต้องการความน่าจะเป็นที่ประมาณ70-80% ขึ้นไป   และในเรื่องของกิจการหรือหุ้นนั้น  การหาความ แน่นอนขนาดนั้นได้  ส่วนใหญ่ผมต้อง  ยืดเวลา  ในการพยากรณ์ออกไปไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีขึ้นไป  และคำถามมักจะเป็นว่า  บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหรือไม่  และ  ราคาหุ้นในขณะนี้ถูกหรือไม่เมื่อถึงเวลานั้น


18  กรกฎาคม  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น