นักลงทุนที่ดีนั้นจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์
ตลาดหุ้นในภาวะวิกฤตินั้นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากที่นักลงทุนจำเป็นต้องเรียนรู้
เพราะถึงแม้ว่าวิกฤติตลาดหุ้นจะเกิดขึ้นไม่บ่อยแต่ผลกระทบของมันมหาศาล มันอาจจะหมายถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตการลงทุนได้
เพราะวิกฤติของตลาดหุ้นนั้นมักทำให้หุ้นตกลงไปกว่า 50%
บางครั้งอาจจะมากถึง 80-90% ซึ่งทำให้ผลตอบแทนที่เราอุตส่าห์สร้างมา บางทีนานนับสิบปี หายวับไปกับตา
ดังนั้น
ถ้าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวจริง ๆ Value Investor จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤติตลาดหุ้นและสามารถ “เอาตัวรอด” มาได้
ว่าที่จริง
ผมเองคิดว่า
ก่อนที่ใครจะเป็น “เซียน” ในการลงทุนได้ เขาต้องผ่านวิกฤติตลาดหุ้นก่อน อย่างน้อย
2 ครั้ง สาเหตุที่บอกว่า 2 ครั้งก็เพราะว่า ถ้าผ่านมาเพียงครั้งเดียวเขาอาจจะผ่านมาได้ “โดยบังเอิญ” หรืออาจจะเป็นช่วงที่เขายังมีเงินลงทุนน้อย ดังนั้น
การขาดทุนอาจจะยังไม่มีนัยสำคัญ
แต่ถ้าผ่านมาได้ 2
ครั้งแล้วยังสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างน่าประทับใจ นั่นก็แสดงว่าเขาแน่จริง และต่อไปนี้ก็คือบทเรียนบางประการที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ความจริงแท้แน่นอนว่าจะต้องเกิดแบบนี้ทุกครั้งที่มี
วิกฤติข้อแรก ก็คือ
ภาวะวิกฤติตลาดหุ้นนั้น
มักจะมาโดย “ไม่รู้ตัว” ไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้น
ก่อนหน้านั้น
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญต่างก็จะคาดการณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ
แต่ไม่มีใครคิดว่าตลาดหุ้นจะตกได้
“ขนาดนี้”
บางที
เช่นในตอนต้นปีนี้อาจจะมีคนพูดว่าดัชนีตลาดหุ้นอาจไปได้ถึง 1,000 จุดก่อนสิ้นปี บางคนบอกว่าอาจจะอยู่แค่ 800-900
จุด
แต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะเหลือเพียง 400 จุดได้ ดังนั้น
สำหรับผมแล้ว บทเรียนก็คือ ตลาดหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ “คาดไม่ได้” ซึ่งก็แปลว่า วิกฤติตลาดหุ้นนั้นอาจจะมาได้เสมอ
ข้อสอง ก็คือ
วิกฤติตลาดหุ้นนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งในยามที่ตลาดหุ้นเฟื่องฟูหรือตลาดหุ้นซบเซา และ
เกิดขึ้นได้ในยามที่หุ้นโดยทั่วไปมีราคาแพงเป็นฟองสบู่นั่นคือ ค่า PE และ/หรือ PB มีค่าสูงลิ่ว หรือในยามที่ตลาดหุ้นโดยทั่วไปมีราคาถูก ค่า PE และ/ หรือ PB มีค่าต่ำอย่างที่ตลาดหุ้นไทยเป็นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น
อย่าพูดว่าดัชนีตลาดต่ำมากแล้วและคงไม่ต่ำลงไปได้อีกมากนัก เพราะหุ้นที่ถูกมากแล้วนั้นอาจจะถูกลงไปได้อีกมากในยามวิกฤติ
ข้อสาม
ภาวะวิกฤตินั้น
มักเกิดขึ้นในยามที่เรามีหุ้นอยู่
“เต็มมือ” นั่นก็คือ มันมักเกิดขึ้นในยามที่นักลงทุนมีความมั่นใจสูงและต่างถือหุ้นกันในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ
บางคนเล่นหุ้นด้วยมาร์จินโดยอาจจะคิดว่าภาระดอกเบี้ยที่เสียไปแค่ปีละ 7-8%
นั้น
คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในหุ้นด้วยเงินกู้
ข้อสี่
หุ้นที่เราซื้อลงทุนโดยที่คิดว่ามี
Margin Of Safety สูง คำนวณจากค่า
PE ที่ต่ำมากนั้น เมื่อเกิดวิกฤติ ราคาก็ตกลงมามากและ Margin Of Safety กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย และนี่อาจจะเป็นบทเรียนว่า การหา Margin
Of Safety โดยเน้นไปที่ตัวเลขกำไรของอดีตเพียงปีเดียวนั้น อาจจะไม่ใช่
Margin Of Safety จริง ๆ
อย่างที่เราคิด
เพราะเมื่อเกิดวิกฤติขึ้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ตกลงมาทำให้ราคาหุ้นลดลงตาม ค่า PE ก็ยังต่ำอยู่เหมือนเดิมหรือต่ำลงไปอีก มันกลายเป็นหุ้นที่มี “Margin Of Safety”
ตลอดกาล
ข้อห้า
ในอีกด้านหนึ่ง หุ้นที่มี Margin Of Safety ในด้านของการดำเนินงาน
นั่นก็คือ
เป็นกิจการที่ผลการดำเนินงานมั่นคงและทนทานต่อภาวะเลวร้ายทางเศรษฐกิจได้นั้น แม้ว่าราคาหุ้นจะไม่ถึงกับต่ำนั้น
ราคาหุ้นกลับสามารถยืนอยู่ได้หรือตกลงไปไม่มากเมื่อเกิดวิกฤติ ดังนั้น
สำหรับผมแล้ว Margin Of
Safety ที่เกิดจากความมั่นคงแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานของบริษัท มีค่ามากกว่า
Margin Of Safety เนื่องจากราคาหรือความถูกของหุ้น
ข้อหก
เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น
แม้ว่าจะเกิดจากภายนอกประเทศและต่างชาติเป็นผู้ขายหุ้นสุทธิเป็นหลัก หุ้นทุกกลุ่มทั้งหุ้นใหญ่ที่ต่างชาติเล่นและหุ้นเล็กที่ต่างชาติไม่ได้ถือ ต่างก็มีราคาตกลงกันมาทั่วหน้า ไม่มีหุ้นไหนรอดพ้นไปได้ สิ่งที่แย่ก็คือ
หุ้นใหญ่นั้นราคาอาจจะลดลงแต่ก็สามารถขายได้ ในขณะที่หุ้นเล็กจำนวนมากนั้น หาสภาพคล่องได้ยากเหลือเกิน หุ้นบางตัวราคาอาจจะลงมาไม่มากเท่าแต่จริง
ๆ
แล้วที่ไม่ลงอาจจะเป็นเพราะไม่มีสภาพคล่องให้ซื้อหรือขายทำให้ดูเหมือนว่าหุ้นไม่ได้ลงมามาก
ข้อเจ็ด
วิกฤตินั้น อาจจะเป็น “โรคติดต่อ” ได้ ในยามที่เศรษฐกิจโลกเป็นโลกาภิวัฒน์ เราจะดูแต่ความเป็นไปภายในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่ได้
อันตรายจากการลงทุนจึงเพิ่มขึ้นมากและนี่นำไปสู่ปรัชญาใหญ่ของการลงทุนที่ว่า
ความเสี่ยงนั้นสำคัญยิ่งกว่าผลตอบแทน
และทำให้ผมต้องอ้างคำพูดของ วอเร็น
บัฟเฟตต์
ก่อนที่จะจบบทความนี้อีกครั้งหนึ่งว่า
หลักการลงทุนข้อที่หนึ่งก็คือ
อย่าขาดทุน และหลักการลงทุนข้อสองก็คือ ให้กลับไปดูข้อหนึ่ง
วิกฤตินั้นให้บทเรียนที่สำคัญมากที่นักลงทุนมักจะลืมเลือนหรือให้ความสำคัญน้อยในยามที่ตลาดหุ้นสดใสนั่นก็คือ การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
8 ธันวาคม
2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น