การลงทุนนั้นน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์อยู่สัก 30% อีก
70% เป็นเรื่องของศิลปะ
ดังนั้น นักลงทุนที่ลงทุนมานานหรือคนที่มุ่งมั่นฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจึงมักจะมี “สไตล์” เป็นของตนเอง
สไตล์นั้น
ผมคิดว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเนื่องจากประสบการณ์ของนักลงทุน นั่นคือ
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาซื้อขายหุ้น
พวกเขาก็จะพยายามเรียนรู้ว่าวิธีการหรือเท็คนิคแบบไหนที่เขาใช้แล้วมักจะทำให้เขาได้กำไร
เท็คนิคแบบไหนหรือการซื้อขายหุ้นแบบไหนที่ทำแล้วมักจะขาดทุน ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งจะถูก “บันทึก”
เอาไว้ในสมองซึ่งจะสะสมไปเรื่อย ๆ
จนในที่สุดเขาก็มักจะสรุปว่า
มีวิธีการลงทุนแบบหนึ่งที่สร้างผลลัพธ์การลงทุนที่ดีที่สุด และหลังจากนั้น เขาก็จะใช้มันเป็นหลัก และนี่คือ
“สไตล์การลงทุน” ของเขา
ในระดับของ “เซียน” ระดับโลกทุกคนนั้น แน่นอนว่าแต่ละคนจะต้องมีสไตล์การลงทุนที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่
เบน เกรแฮม บิดาแห่งการลงทุนแบบ Value
Investment ซึ่งเน้นการลงทุนแบบ Quantitative หรือเน้นดูตัวเลขข้อมูลทางการเงินเป็นหลัก
โดยไม่ค่อยสนใจข้อมูลด้านคุณภาพซึ่งเขามองว่าวัดไม่ได้และอาจเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยผู้บริหารของบริษัท
หุ้นที่เขาลงทุนนั้นจะเป็นหุ้นที่มีราคาถูกมากโดยเฉพาะที่วัดจากทรัพย์สินของบริษัท การลงทุนของ เบน เกรแฮม นั้น
จะเน้นในด้านของความปลอดภัยเป็นพิเศษ
โดยหุ้นที่ลงทุนจะต้องมี “Margin
Of Safety” สูง
และพอร์ตโฟลิโอของเขาจะมีการกระจายการถือหุ้นจำนวนมาก เช่นเดียวกับการถือพันธบัตรในสัดส่วนที่สูง
วอเร็น บัฟเฟตต์
นักลงทุนที่มีชื่อเสียงและรวยที่สุดในโลกนั้น
มีสไตล์ที่โดดเด่นอยู่ที่การถือหุ้นของกิจการที่ “ดีที่สุด” ในแง่ของธุรกิจ และเขาชอบที่จะถือมันในสัดส่วนที่มาก บ่อยครั้งเขาถือมันร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นเจ้าของคนเดียว
เขาถือหุ้นน้อยตัวและไม่ค่อยขายหุ้นหรือกิจการเหล่านั้นออกไป สไตล์ของวอเร็น บัฟเฟตต์
นั้น ถ้าจะว่าไป เขาไม่ได้ลงทุนใน “หุ้น” แต่เขาลงทุนใน “ธุรกิจ”
ปีเตอร์ ลินช์
อดีตผู้บริหารกองทุนรวมที่มีสถิติการทำผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมและมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกนั้น มีสไตล์การลงทุนที่ ซื้อเกือบทุกอย่างที่วิเคราะห์แล้วพบว่าดี
และ/หรือ ถูก
โดยที่เขาจะมีวิธีการจัดหุ้นเป็นกลุ่ม ๆ
ที่จะทำให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ถึงคุณสมบัติของกิจการและหาจังหวะในการเข้าซื้อและขายหุ้น
Value Investor ในบ้านเรานั้น
หลังจากผ่านกระบวนการเรียนรู้ในการซื้อขายหุ้นมาหลายปีจนถึงปัจจุบันก็เริ่มมี “สไตล์” เป็นของตนเอง จากการสังเกตของผม Value Investor รุ่นบุกเบิกหลายคนซึ่งมักจะมีอายุมากหน่อยก็มักจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาถูก มีผลกำไรและการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอและอยู่ในระดับที่พอใช้ได้
กิจการมักเป็นกิจการที่ไม่หวือหวาโตเร็วและไม่ใช่เป็นกิจการ “แห่งอนาคต” และนั่นก็คือสไตล์การลงทุนแบบ VI
ในยุคแรก ๆ
ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ายังมีคนใช้อยู่มากน้อยแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าคนรุ่นใหม่
ๆ
จะไม่สนใจสไตล์การลงทุนในแนวนี้สักเท่าไรเพราะผลตอบแทนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะไม่ใคร่น่าประทับใจ
สไตล์การลงทุนของ VI ในช่วงเร็ว
ๆ
นี้มีมากมายหลากหลายมากจนยากที่จะบรรยายหรือเข้าใจได้หมด แต่สไตล์ที่สร้างผลตอบแทนหวือหวาดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก
สาเหตุคงเป็นเพราะว่าช่วงหลายปีที่ผ่านนั้นเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมากทั้งขาขึ้นและขาลงซึ่งทำให้เกิดกำไร-ขาดทุนที่สูงมากในระยะเวลาอันสั้น คนที่ทำกำไรได้สูงนั้น แน่นอน
ต้อง “ซื้อ”
สไตล์ที่เขาคิดว่าทำผลตอบแทนได้ดีมากซึ่งก็มีหลายแบบ
สไตล์หนึ่งที่นิยมกันในช่วงนี้ก็คือ การเล่นหุ้นของกิจการขนาดเล็กที่มี “กำไรดีและกำลังเติบโต” มองจากข้อมูลตัวเลขที่ผ่านมาเร็ว
ๆ นี้
หุ้นดังกล่าวอาจจะไม่ใคร่มีสภาพคล่องนักแต่เจ้าของหรือผู้บริหารมีความตั้งใจและเอาใจใส่กับราคาหุ้นและพร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลดี
ๆ ของบริษัท เช่นเดียวกัน
กิจการก็มีความกระตือรือร้นที่จะขยายงานหรือหาธุรกิจใหม่ ๆ
ทำเพื่อสร้างการเจริญเติบโตต่อไป
นักลงทุนที่เล่นหุ้นสไตล์นี้นั้น
เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็ต้องมีกระบวนการในการ
“โฆษณา”
หรือเผยแพร่เพื่อชักจูงนักลงทุนคนอื่นให้เห็นถึงคุณสมบัติที่
“ดีเยี่ยม” และซื้อหุ้นตาม ในหลาย ๆ
กรณี
หุ้นมีราคาเพิ่มขึ้นมากและทำให้นักลงทุนชุดแรก ๆ ที่มองเห็นก่อนสามารถทำกำไรได้อย่างงดงามในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม
หุ้นหลายตัวหลังจากขึ้นไปแล้ว
กลับตกลงมาอย่างหนักจนทำให้คนที่ซื้อทีหลังขาดทุนจำนวนมากเช่นกัน
อีกสไตล์หนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นก็คือ การลงทุนใน
“หุ้นวัฏจักร” ซึ่งก็คือการลงทุนในกิจการที่ขายสินค้าที่มีลักษณะแบบสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นรอบ
ๆ เท็คนิคก็คือ พยายามมองหาหุ้นของกิจการที่กำลังจะเป็น “ขาขึ้น” แต่หุ้นที่สนใจนั้น
มักเป็นหุ้นของกิจการขนาดเล็กที่นักวิเคราะห์ไม่สนใจติดตาม
ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นไม่ค่อยได้ปรับตัวตามวัฏจักรอย่างรวดเร็วตามที่ควรเป็น เมื่อพบแล้วก็เข้าซื้อ
แล้วก็รอและโปรโมตหุ้นให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนอื่น ๆ จนราคาดีดตัวขึ้นเมื่อผลการดำเนินงานที่โดดเด่นได้รับการประกาศออกมา
พวกเขาก็มักจะขายเพื่อทำกำไรและมองหาหุ้นวัฏจักรตัวต่อไป
สไตล์สุดท้ายที่เริ่มมีคนยึดถือเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันก็คือการลงทุนในหุ้น Super Stock ในแบบของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แม้ว่ากิจการในตลาดหุ้นไทยนั้นจะมีคุณสมบัติต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกามาก แต่แนวที่นักลงทุนใช้ก็คือ ลงทุนเฉพาะในหุ้นกลุ่มที่มีคุณภาพดีที่สุด ในราคาที่ถูกหรือยุติธรรม
ซึ่งก็มักเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาก ซื้อแล้วเก็บไว้ค่อนข้างนาน
จนราคาปรับตัวขึ้นไปมากแล้วก็ขายและรอซื้อหุ้นตัวอื่นหรือตัวเดิมที่มีคุณภาพสูงและในราคาที่เหมาะสมต่อไป
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการลงทุนบางสไตล์ของ VI
ที่มีให้เห็นโดดเด่น
สไตล์เหล่านั้นอาจจะได้รับความนิยมนานหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับผลงานการลงทุนที่นักลงทุนที่ใช้ทำได้ ถ้าสไตล์นั้นสามารถทำผลงานดีเด่นยาวนาน สไตล์นั้นก็น่าจะคงทน แต่หากสไตล์นั้นทำผลงานดีได้เพียงชั่วคราว ในไม่ช้ามันก็จะหมดความนิยมลง ในทางตรงกันข้าม เท็คนิคหรือสไตล์ใหม่ก็จะเกิดขึ้น
เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนคนหนึ่งจะสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ ดังนั้น
วิธีการที่ดีกว่าก็คือ หาสไตล์ที่ดีที่สุดในระยะยาวแล้วฝึกฝนจนชำนาญและใช้มันตลอดไป เฉกเช่นเดียวกับ วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือ ปีเตอร์
ลินช์ หรือ เบน
เกรแฮม
ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จและกลายเป็นตำนานของนักลงทุนของโลก
2
พฤศจิกายน 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น