ในช่วงนี้ดูเหมือนว่ากิจกรรมการซื้อขายหุ้นในตลาดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่จะต่ำกว่าวันละ 10,000
ล้านบาท
โดยในช่วงวันตรุษจีนที่เพิ่งผ่านมาต่ำกว่า 3,000
ล้านบาทด้วยซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี ความเงียบเหงาของตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ผู้อยู่ในวงการโบรกเกอร์หวั่นวิตกที่สุด
เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่สำคัญที่สุดที่จะหดหายไป เช่นเดียวกัน นักเล่นหุ้นขาประจำโดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรจากการซื้อขายหุ้นในระยะสั้นต่างก็มองว่านี่คือเวลาที่ไม่มีความหวังสำหรับการเล่นหุ้น ความเงียบเหงานั้น
สำหรับคนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย แต่สำหรับ
Value Investor อย่างผม ผมกลับคิดว่า ความเงียบเหงาคือเวลาที่ดีสำหรับการลงทุน
ก่อนที่จะพูดว่าทำไมผมจึงชอบตลาดหุ้นที่เหงาหงอย มาดูสัญญาณต่าง ๆ
กันก่อนว่าอย่างไรแปลว่าตลาดเหงา
การที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงอย่างเดียวนั้นยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนแต่ก็เป็นสัญญาณที่สำคัญและเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นตัวแรก ในความเห็นผม
ปริมาณการซื้อขายที่น่าจะเรียกว่าปกติก็คือ การซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณเท่ากับตัวเลขที่จะทำให้หุ้นทั้งตลาดมีการหมุนเวียนหนึ่งรอบในเวลาหนึ่งปี
ซึ่งถ้าดูปริมาณหุ้นทั้งตลาดหรือมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในปัจจุบันเท่ากับประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท
หารด้วยจำนวนวันซื้อขายหุ้นทั้งปีที่ประมาณ 240
วันก็จะตกวันละ 14,000-15,000 ล้านบาท
ดังนั้น
ปริมาณการซื้อขายปัจจุบันที่มักจะต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
ในช่วงนี้จึงถือว่าการซื้อขายหุ้นค่อนข้างเงียบเหงา
สัญญาณที่ควรสังเกตสำหรับความเงียบเหงาของตลาดหุ้นตัวต่อไปก็คือ
สื่อสารมวลชนที่เข้าถึงคนในวงกว้างได้แก่วิทยุ โทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์ ผมคิดว่ารายการเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงนั้นค่อย
ๆ ลดลงมาเป็นระยะเวลาพอสมควร
รายการเกี่ยวกับการลงทุนอาจจะยังคงอยู่แต่น้ำหนักในการนำเสนอจะเปลี่ยนไป
ชื่อรายการที่เคยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นก็อาจจะเป็นเรื่องของ “เงินทอง” หรือการลงทุนแบบกว้าง ๆ ประสบการณ์ส่วนตัวผมเองเคยร่วมทำรายการวิทยุเกี่ยวกับหุ้นสัปดาห์ละสามวัน ในช่วงหลังก็เหลือเพียงสองวัน รายการเกี่ยวกับหุ้นอื่น ๆ ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์นั้น
ผมไม่ได้ติดตามตัวเลขว่ามีการเปลี่ยนและลดลงแค่ไหน
แต่คิดว่าลดลงโดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นที่นำเสนอ ความสนใจเกี่ยวกับการออมและการลงทุนนั้นดูเหมือนจะยังมีอยู่แต่มักจะเน้นในด้านของการลงทุนที่มีความมั่นคงปลอดภัยเช่น การฝากเงิน
ประกันชีวิต พันธบัตร และในช่วงนี้น่าจะรวมถึง ทอง
ด้วย
สัญญาณต่อไปที่น่าจับตามองก็คือ การพูดคุยในเวบไซ้ต์เกี่ยวกับหุ้น ในช่วงนี้ผมคิดว่าการพูดคุยหรือการตั้งและโต้ตอบกระทู้ของนักลงทุนมีน้อยลงไปมาก
คนที่เข้าไปเขียนข้อความก็มักจะเป็นรายใหม่ที่อายุและประสบการณ์การลงทุนยังน้อย ความน่าสนใจและความคึกคักต่าง ๆ หดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ถ้าจะใช้สามัญสำนึกก็คงไม่ยากที่จะบอกนั่นก็คือ ถ้าเข้าเวบแล้วดูน่าเบื่อและน่าเบื่อลงเรื่อย
ๆ นั่นก็เป็นสัญญาณแล้วว่า ตลาดหุ้นกำลังเหงา
ผมเองเป็นคนที่ซื้อหาหนังสือการลงทุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหุ้นเป็นประจำ ในระยะหลัง
ๆ
นี้ผมแทบจะหาหนังสือที่น่าสนใจไม่ได้
ในชั้นที่วางหนังสือแนะนำและหนังสือใหม่นั้น
ในช่วงหุ้นบูมผมมักจะต้องพบหนังสือการลงทุนในหุ้นเล่มใหม่แทบจะทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์ เดี๋ยวนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงมีน้อยมาก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าหุ้นเหงา
กิจกรรมเกี่ยวกับหุ้นที่ยังพอเห็นมีคนเข้าร่วมพอสมควรน่าจะเป็นเรื่องของการสัมมนาที่ยังค่อนข้างคึกคัก
แต่นี่ก็คือกิจกรรมของคนกลุ่มน้อยที่สุดในตลาดหุ้น ถ้าจะพูดก็คือ นี่คือกลุ่มคน
“หัวแข็ง” และอาจเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในตลาดหุ้นหรือยังมีความหวังและอยากจะได้โอกาสในการทำกำไรในภาวะวิกฤติ และถ้าการสัมมนา “ร้างผู้คน” เมื่อไร ผมคิดว่านั่นคือตลาดหุ้นเหงาสุด ๆ
และอาจจะเป็นโอกาสสุดยอดในการลงทุนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติปี 2540ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่า
ด้วยสัญญาณหลัก ๆ หลายตัวที่ชี้ว่าหุ้น “ค่อนข้างจะเหงา” ผมก็คิดว่า นี่น่าจะเป็นเวลาที่ดีในการลงทุน
เหตุผลของผมก็คือ
เมื่อทุกคนที่หมดหวังจากการลงทุนหุ้นในตลาด นั่นแปลว่าพวกเขามักจะ “ขายหุ้นไปหมดแล้ว” คนที่เข้าไปรับซื้อหุ้นและยังถือต่อไปก็มักจะเป็นคนที่มองดูแล้วเห็นว่าราคาหุ้นถูกพอที่จะถือลงทุนระยะยาวได้ไม่ว่าเขาจะเป็น Value Investor หรือไม่ ในอีกส่วนหนึ่ง คนที่ไม่คิดที่จะขายขาดทุนอาจจะเพราะเขา “ทำใจไม่ได้” ดังนั้นเขาจะถือรอต่อไปเพื่อว่าจะสามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสมในอนาคต ดังนั้น
ในสถานการณ์แบบนี้
แรงขายที่จะทำให้ราคาลดต่ำลงมาก ๆ
จะมีน้อยลง
ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกหนัก ๆ
น่าจะลดลงไปมาก
เช่นเดียวกัน
แรงซื้อที่จะขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปแรงมาก ๆ ก็
จะน้อยลงเช่นเดียวกันเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นเดียว
กับสถานะของนักลงทุนโดยทั่วไปที่ยังไม่มีกำลังใจและกำลังเงินเพียงพอที่จะ “ตามแห่” และช่วยกันขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้มาก ๆ
ดังนั้น
หุ้นก็มักจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นหวือหวาหากพื้นฐานไม่ได้รองรับหรือเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
ในสภาวะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่งเพราะ “หุ้นเหงา”
นั้น
ผมคิดว่าเราในฐานะที่เป็น Value
Investor จะมีสมาธิและมีเหตุผลที่ดีในการที่จะวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการโดยไม่มีความลำเอียงจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เรา
จะไม่มองกิจการว่าดีเกินไปหรือแย่เกินไปอย่างที่มักจะเกิดขึ้นเวลาที่ราคา
หุ้นมีการตอบสนองกับพื้นฐานที่รุนแรงกว่าปกติในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักหรือ
ตลาดหุ้นตระหนกตกใจและมีผู้คนที่เป็น “
เซียน” มาให้ความเห็นที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจ นอกจากนั้น
เรามีเวลาที่จะไตร่ตรองมากมายเช่นเดียวกับเวลาที่จะเข้าไปซื้อหุ้นอย่างช้า
ๆ และไม่ต้องเร่งซื้อที่จะทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เพราะในยามที่ตลาดหุ้นเหงา ตลาดเป็นของผู้ซื้อ เราเลือกได้มาก เรา “ต่อรอง” ได้มาก
ถ้าไม่เห็นภาพก็ลองนึกดูถึงการซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังวิกฤติปี
2540 ก็จะพบว่า มันเป็นการซื้อที่ได้ของดีและถูกแค่ไหน
การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดเหงานั้น
ยังหมายความว่าเราซื้อโดยที่อาจจะไม่ค่อยได้คิดถึงวันที่จะขาย
เราซื้อเพราะว่ามันให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องถือไปตลอด นั่นก็คือ
บริษัทมีกำไรสูงมากและให้ปันผลที่คุ้มค่าในปัจจุบันและจะดียิ่งขึ้นไปเรื่อย
ๆ ในอนาคต และนี่คือการลงทุนที่อิงกับพื้นฐานของธุรกิจอย่างแท้จริงโดยที่ไม่ได้คิดถึงปัจจัยของการเก็งกำไรจากตลาดหุ้นเลย ดังนั้น
การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นเหงา
สำหรับผมแล้วมักจะเป็นการซื้อหุ้นที่ดีเสมอ
2 กุมภาพันธ์
2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น