วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมื่อตลาดหุ้นเหงา


ในช่วงนี้ดูเหมือนว่ากิจกรรมการซื้อขายหุ้นในตลาดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด   ปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่จะต่ำกว่าวันละ  10,000   ล้านบาท  โดยในช่วงวันตรุษจีนที่เพิ่งผ่านมาต่ำกว่า 3,000  ล้านบาทด้วยซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี    ความเงียบเหงาของตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ผู้อยู่ในวงการโบรกเกอร์หวั่นวิตกที่สุด   เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่สำคัญที่สุดที่จะหดหายไป   เช่นเดียวกัน   นักเล่นหุ้นขาประจำโดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรจากการซื้อขายหุ้นในระยะสั้นต่างก็มองว่านี่คือเวลาที่ไม่มีความหวังสำหรับการเล่นหุ้น    ความเงียบเหงานั้น   สำหรับคนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย    แต่สำหรับ  Value Investor อย่างผม   ผมกลับคิดว่า   ความเงียบเหงาคือเวลาที่ดีสำหรับการลงทุน

ก่อนที่จะพูดว่าทำไมผมจึงชอบตลาดหุ้นที่เหงาหงอย   มาดูสัญญาณต่าง    กันก่อนว่าอย่างไรแปลว่าตลาดเหงา   การที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงอย่างเดียวนั้นยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนแต่ก็เป็นสัญญาณที่สำคัญและเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นตัวแรก    ในความเห็นผม  ปริมาณการซื้อขายที่น่าจะเรียกว่าปกติก็คือ   การซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณเท่ากับตัวเลขที่จะทำให้หุ้นทั้งตลาดมีการหมุนเวียนหนึ่งรอบในเวลาหนึ่งปี   ซึ่งถ้าดูปริมาณหุ้นทั้งตลาดหรือมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในปัจจุบันเท่ากับประมาณ  3.5 ล้านล้านบาท  หารด้วยจำนวนวันซื้อขายหุ้นทั้งปีที่ประมาณ  240  วันก็จะตกวันละ 14,000-15,000 ล้านบาท    ดังนั้น  ปริมาณการซื้อขายปัจจุบันที่มักจะต่ำกว่า 10,000  ล้านบาท ในช่วงนี้จึงถือว่าการซื้อขายหุ้นค่อนข้างเงียบเหงา

สัญญาณที่ควรสังเกตสำหรับความเงียบเหงาของตลาดหุ้นตัวต่อไปก็คือ   สื่อสารมวลชนที่เข้าถึงคนในวงกว้างได้แก่วิทยุ  โทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์   ผมคิดว่ารายการเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงนั้นค่อย ๆ  ลดลงมาเป็นระยะเวลาพอสมควร   รายการเกี่ยวกับการลงทุนอาจจะยังคงอยู่แต่น้ำหนักในการนำเสนอจะเปลี่ยนไป   ชื่อรายการที่เคยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นก็อาจจะเป็นเรื่องของ  เงินทอง   หรือการลงทุนแบบกว้าง ๆ    ประสบการณ์ส่วนตัวผมเองเคยร่วมทำรายการวิทยุเกี่ยวกับหุ้นสัปดาห์ละสามวัน   ในช่วงหลังก็เหลือเพียงสองวัน   รายการเกี่ยวกับหุ้นอื่น ๆ  ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์นั้น  ผมไม่ได้ติดตามตัวเลขว่ามีการเปลี่ยนและลดลงแค่ไหน   แต่คิดว่าลดลงโดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นที่นำเสนอ   ความสนใจเกี่ยวกับการออมและการลงทุนนั้นดูเหมือนจะยังมีอยู่แต่มักจะเน้นในด้านของการลงทุนที่มีความมั่นคงปลอดภัยเช่น  การฝากเงิน  ประกันชีวิต  พันธบัตร  และในช่วงนี้น่าจะรวมถึง  ทอง  ด้วย

สัญญาณต่อไปที่น่าจับตามองก็คือ   การพูดคุยในเวบไซ้ต์เกี่ยวกับหุ้น   ในช่วงนี้ผมคิดว่าการพูดคุยหรือการตั้งและโต้ตอบกระทู้ของนักลงทุนมีน้อยลงไปมาก    คนที่เข้าไปเขียนข้อความก็มักจะเป็นรายใหม่ที่อายุและประสบการณ์การลงทุนยังน้อย   ความน่าสนใจและความคึกคักต่าง ๆ   หดหายไปอย่างเห็นได้ชัด   ถ้าจะใช้สามัญสำนึกก็คงไม่ยากที่จะบอกนั่นก็คือ   ถ้าเข้าเวบแล้วดูน่าเบื่อและน่าเบื่อลงเรื่อย ๆ    นั่นก็เป็นสัญญาณแล้วว่า   ตลาดหุ้นกำลังเหงา

ผมเองเป็นคนที่ซื้อหาหนังสือการลงทุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหุ้นเป็นประจำ   ในระยะหลัง    นี้ผมแทบจะหาหนังสือที่น่าสนใจไม่ได้   ในชั้นที่วางหนังสือแนะนำและหนังสือใหม่นั้น   ในช่วงหุ้นบูมผมมักจะต้องพบหนังสือการลงทุนในหุ้นเล่มใหม่แทบจะทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์  เดี๋ยวนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงมีน้อยมาก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าหุ้นเหงา

กิจกรรมเกี่ยวกับหุ้นที่ยังพอเห็นมีคนเข้าร่วมพอสมควรน่าจะเป็นเรื่องของการสัมมนาที่ยังค่อนข้างคึกคัก   แต่นี่ก็คือกิจกรรมของคนกลุ่มน้อยที่สุดในตลาดหุ้น   ถ้าจะพูดก็คือ  นี่คือกลุ่มคน  หัวแข็ง  และอาจเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในตลาดหุ้นหรือยังมีความหวังและอยากจะได้โอกาสในการทำกำไรในภาวะวิกฤติ    และถ้าการสัมมนา   ร้างผู้คน  เมื่อไร   ผมคิดว่านั่นคือตลาดหุ้นเหงาสุด ๆ   และอาจจะเป็นโอกาสสุดยอดในการลงทุนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติปี  2540ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร   ผมคิดว่า  ด้วยสัญญาณหลัก ๆ  หลายตัวที่ชี้ว่าหุ้น  ค่อนข้างจะเหงา  ผมก็คิดว่า  นี่น่าจะเป็นเวลาที่ดีในการลงทุน

เหตุผลของผมก็คือ   เมื่อทุกคนที่หมดหวังจากการลงทุนหุ้นในตลาด   นั่นแปลว่าพวกเขามักจะ  ขายหุ้นไปหมดแล้ว  คนที่เข้าไปรับซื้อหุ้นและยังถือต่อไปก็มักจะเป็นคนที่มองดูแล้วเห็นว่าราคาหุ้นถูกพอที่จะถือลงทุนระยะยาวได้ไม่ว่าเขาจะเป็น  Value Investor หรือไม่   ในอีกส่วนหนึ่ง   คนที่ไม่คิดที่จะขายขาดทุนอาจจะเพราะเขา  ทำใจไม่ได้  ดังนั้นเขาจะถือรอต่อไปเพื่อว่าจะสามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสมในอนาคต    ดังนั้น  ในสถานการณ์แบบนี้   แรงขายที่จะทำให้ราคาลดต่ำลงมาก ๆ  จะมีน้อยลง   ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกหนัก ๆ  น่าจะลดลงไปมาก
เช่นเดียวกัน   แรงซื้อที่จะขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปแรงมาก ๆ  ก็ จะน้อยลงเช่นเดียวกันเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นเดียว กับสถานะของนักลงทุนโดยทั่วไปที่ยังไม่มีกำลังใจและกำลังเงินเพียงพอที่จะ  ตามแห่  และช่วยกันขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้มาก     ดังนั้น   หุ้นก็มักจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นหวือหวาหากพื้นฐานไม่ได้รองรับหรือเปลี่ยนไปมากจริง 

ในสภาวะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่งเพราะ  หุ้นเหงานั้น   ผมคิดว่าเราในฐานะที่เป็น  Value Investor  จะมีสมาธิและมีเหตุผลที่ดีในการที่จะวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการโดยไม่มีความลำเอียงจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น   เรา จะไม่มองกิจการว่าดีเกินไปหรือแย่เกินไปอย่างที่มักจะเกิดขึ้นเวลาที่ราคา หุ้นมีการตอบสนองกับพื้นฐานที่รุนแรงกว่าปกติในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักหรือ ตลาดหุ้นตระหนกตกใจและมีผู้คนที่เป็น    เซียน  มาให้ความเห็นที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจ     นอกจากนั้น   เรามีเวลาที่จะไตร่ตรองมากมายเช่นเดียวกับเวลาที่จะเข้าไปซื้อหุ้นอย่างช้า ๆ  และไม่ต้องเร่งซื้อที่จะทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น  เพราะในยามที่ตลาดหุ้นเหงา   ตลาดเป็นของผู้ซื้อ   เราเลือกได้มาก   เรา  ต่อรอง  ได้มาก   ถ้าไม่เห็นภาพก็ลองนึกดูถึงการซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังวิกฤติปี 2540  ก็จะพบว่า   มันเป็นการซื้อที่ได้ของดีและถูกแค่ไหน

การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดเหงานั้น   ยังหมายความว่าเราซื้อโดยที่อาจจะไม่ค่อยได้คิดถึงวันที่จะขาย   เราซื้อเพราะว่ามันให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องถือไปตลอด   นั่นก็คือ  บริษัทมีกำไรสูงมากและให้ปันผลที่คุ้มค่าในปัจจุบันและจะดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  ในอนาคต  และนี่คือการลงทุนที่อิงกับพื้นฐานของธุรกิจอย่างแท้จริงโดยที่ไม่ได้คิดถึงปัจจัยของการเก็งกำไรจากตลาดหุ้นเลย    ดังนั้น   การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นเหงา  สำหรับผมแล้วมักจะเป็นการซื้อหุ้นที่ดีเสมอ          


2  กุมภาพันธ์  2552

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น