วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

NPA



ความคิดต่อไปนี้ เกิดขึ้นเมื่อผมต้องย้ายข้าวของภายในบ้านจากที่ต่ำไปสู่ที่สูง  เพราะนั่นทำให้ผมพบว่ามีสิ่งของมากมายที่ผมแทบจะไม่เคยได้ใช้  หรือใช้เพียง  2-3  ครั้ง แล้วก็ถูกเก็บเอาไว้จนผมลืมไปแล้วว่ามีอยู่  เครื่องใช้หลายอย่างนั้น  ผมซื้อมาเพราะคิดว่ามันน่าใช้  มีประโยชน์  แต่หลังจากนั้นผมก็พบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ   เช่น  เครื่องออกกำลังกาย  เครื่องมือทำความสะอาดบ้านแบบหรูหรา เป็นต้น  สิ่งของบางอย่างนั้น  ผมได้รับมาจากคนอื่นเป็นของขวัญ  หรือเป็นของรางวัล  ของเหล่านั้น  ผมไม่ต้องการใช้ในขณะนั้น  จึงเก็บไว้  แล้วก็ลืมว่ามันมีตัวตนอยู่  สิ่งของทั้งหมดนั้น  ผมเรียกมันว่า NPA หรือ  Non-performing Asset  หรือ ทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนอื่น

ลองสำรวจตัวเองแล้ว  ผมก็คิดว่าตนเองไม่ใช่คนที่ซื้อหรือเก็บของอะไรมากมายนัก  ดังนั้น  คนอื่นจำนวนมากก็น่าจะมี NPA อยู่มากโขเหมือนก้นโดยเฉพาะคนที่มีบ้านใหญ่โตเก็บของได้มาก  และเมื่อยิ่งคิดไปอีกก็พบว่า  ในความเป็นจริง  ผมหรือคนจำนวนมากนั้น  ไม่ได้มี NPA เฉพาะที่เป็นของใช้ต่าง ๆ  ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในบ้านเท่านั้น   แต่ยังมี NPA ที่เป็นทรัพย์สินรายการใหญ่ ๆ  อีกไม่น้อย  และ NPA  เหล่านั้น  น่าจะมีส่วนทำให้ความมั่งคั่งของเขาถดถอยลงเนื่องจากมัน  ดูด  เงินของเราให้  จม  ไปกับมันโดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หรือรายได้กลับมา

NPA ที่เคยเป็นรายการทรัพย์สินใหญ่ของผมตัวหนึ่งก็คือ  ที่ดินแถวบางบัวทองที่ผมซื้อมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนในช่วงวิกฤติปี 2540   ที่แปลงนั้นมีราคากว่า 5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญในขณะนั้นของผมและผมต้องก่อหนี้ถึงกว่า 3 ล้านบาทเพื่อที่จะซื้อมาและพบว่าผมไม่สามารถใช้มันได้เลยเนื่องจากอาณาบริเวณนั้นถูกน้ำท่วมตั้งแต่วันแรกที่ซื้อและท่วมต่อมาอีกเกือบทุกปี   การที่จะขายทิ้งแทบเป็นไปไม่ได้ยกเว้นว่าจะขายถูกมากแบบครึ่งราคาซึ่งผมไม่ยอมทำ   ผมปล่อยให้มันเป็น NPA มาเป็นสิบ ๆ ปีและนั่นคือความผิดพลาด  เพราะถ้าผมขายทิ้งตั้งแต่แรก ๆ  แม้ในราคาเพียงครึ่งเดียวและนำเงินมาลงทุนในทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้  ป่านนี้มันคงกลายเป็นเงินก้อนโตไปแล้ว

คนที่ซื้อคอนโดมิเนียมไว้  โดยเฉพาะที่อยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวในต่างจังหวัด  แต่ไม่ค่อยได้ไปพัก   เช่นปีหนึ่งอาจจะใช้เพียง  4-5 วัน  ในกรณีอย่างนี้เขาอาจจะไม่ตระหนักว่า  มันได้กลายเป็น NPA เรียบร้อยแล้ว   เหตุผลก็เพราะว่า ด้วยเม็ดเงิ นลงทุนที่ต้องเสียไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนหรือประโยชน์ที่ได้รับนั้น  มันไม่สัมพันธ์กันเลย   ตัวอย่างเช่น  ถ้าคอนโดมีราคา 2 ล้านบาท  และเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10%  เราก็จะได้เงินปีละ 2 แสนบาท  เทียบกับการใช้คอนโดของเราประมาณ  4-5 วันต่อปี เท่ากับว่าเราเสียค่าที่พักคืนละ 4-5 หมื่นบาท ดังนั้น ต้องถือว่าคอนโดที่เราซื้อมากลายเป็น NPA ไปแล้ว

หุ้นหลายตัวที่เราถือมานานหลายปี  แต่เมื่อมองย้อนหลังกลับไป พบว่ามันให้ผลตอบแทนน้อยมาก  ทั้งจากปันผลที่น้อยนิดและราคาหุ้นที่ไม่ไปไหนมานาน  เหตุผลที่เราไม่ขายทิ้งก็อาจจะเป็นเพราะว่าราคาหุ้นต่ำกว่าต้นทุนมาก  เราขายไม่ลง  หรือเราอาจจะมองว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาถูกเป็นหุ้น Value และหวังว่าในที่สุดมันก็จะปรับตัวขึ้นมาเอง  ดังนั้นเราจึงไม่ขาย   ในกรณีแบบนี้  เราอาจจะกำลังถือหุ้นที่เป็น  NPA     หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือ  เป็น NPS  หรือ  Non-performing Stock  ซึ่งยิ่งถือนานก็ยิ่ง ขาดทุน  เพราะถ้าเราขายหุ้นไปแล้วเอาเงินมาลงทุนในหุ้นอื่นที่ดีกว่า เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่ามากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านไป

สุดท้ายที่ผมเห็นว่าคนจำนวนมากไม่ตระหนักก็คือ  การที่เราฝากเงินไว้ในธนาคารจำนวนมากกว่าความจำเป็นเพราะเราไม่รู้เรื่องการลงทุนดีพอ  จริงอยู่  การฝากเงินนั้นแม้ว่าจะปลอดภัยแต่มันก็ให้ผลตอบแทนน้อยมาก  ช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาเราได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละไม่เกิน 2-3%  ต่ำยิ่งกว่าอัตราเงินเฟ้อ  ดังนั้น  ในความคิดของผม  เงินฝากธนาคารในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็น  NPA  โดยที่คนจำนวนมากไม่รู้ตัว

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด  นั่นก็คือ  เราต่างก็มีทรัพย์สินที่เป็น  NPA  จำนวนมาก   ดังนั้น  วิธีที่จะสร้างความมั่งคั่งที่น่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  การตระหนักถึง  NPA  ที่อาจจะอยู่ในพอร์ตของเราอย่างไม่รู้ตัว  การไม่สร้างหรือซื้อทรัพย์สินที่มีโอกาสที่จะกลายเป็น NPA สูง   และการแก้ไขทรัพย์สินที่เป็น  NPA  โดยวิธีการต่าง ๆ  ซึ่งแน่นอน  รวมถึงการขาย  NPA  นั้นทิ้งแม้ว่าจะได้ราคาน้อยกว่าที่เราคาดหรือคำนวณไว้มาก   ถ้าทำได้แบบนี้   หนทางสู่ความมั่งคั่งคงจะราบเรียบขึ้นเยอะโดยที่เราอาจจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป
   
31  ตุลาคม  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น