ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่อิตาลีและอังกฤษ และก็เช่นเคย
ผมมีข้อสังเกตจากสิ่งที่พบเห็น
เรื่องแรกก็คือ ผมเพิ่งตระหนักว่าพนักงานบริการ เช่น
พนักงานเสิร์พอาหารตามภัตตาคารโดยเฉพาะในอิตาลีนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30-40 ปี ที่เป็นผู้หญิงมีจำนวนน้อยมาก นี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ
เพราะในบ้านเราหรือในประเทศแถบเอเชียผมมักจะเห็นผู้หญิงมากกว่ามาก นั่นทำให้ผมคิดไปว่า งานในประเทศอิตาลีหรืออาจจะเป็นในหลาย ๆ
ประเทศในยุโรปคงจะหายากมายาวนาน
งานเสิร์พอาหารคงเป็นงานที่มีรายได้ดีมีคนแย่งกันทำและทำให้ผู้ชายเข้ามาทำกันมาก
และไม่ใช่เป็นการทำงานชั่วคราวของเด็กวัยรุ่นเพื่อรองานอื่น แต่เป็นอาชีพที่ “พ่อบ้าน” ทำกันเป็นงานประจำ
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกต่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งเคยขาดแคลนแรงงานมายาวนาน ที่นั่น
ผมเคยเห็นผู้ชายอายุมากทำงานเป็นคนนั่งเฝ้าดูแลสถานที่อาบน้ำร้อนของผู้หญิง
อุทาหรณ์เรื่องนี้ นั่นคือ
กำลังแรงงานที่สำคัญถูกใช้ไปทำงานที่ไม่ได้มีการเพิ่มคุณค่ามากนักทางเศรษฐกิจ น่าจะเป็นการบ่งบอกว่า ในระยะยาวแล้ว
สังคมหรือประเทศก็อาจจะไปไม่ได้ไกลมากนักจากจุดที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม
ผมต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า
ผมเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงอิตาลีหรือยุโรปนั้น ทำงานอะไรเป็นหลัก หรืออยู่มากในภาคไหนของเศรษฐกิจ
เรื่องที่สองที่ผมรู้สึกทึ่งเล็กน้อยก็คือ
เรื่องของคนแจวเรือกอนโดลาที่เมืองเวนิสซึ่งเป็นเมืองที่จมลงในทะเล ถนนทุกแห่งกลายเป็นคลอง ทั้งเมืองไม่มีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซต์หรือแม้แต่จักรยาน ทุกคนต้องเดินหรือใช้เรือเป็นพาหนะ
เรือกอนโดลานั้นเป็นเรือโบราณที่นักท่องเที่ยวที่ไปเมืองเวนิสใช้นั่งชมเมือง เป็นเรือที่ใช้คนพาย
และถ้าจะให้ครบสูตรจะต้องมีคนนั่งร้องเพลงโอเปร่าประกอบด้วย และนี่คือความ
“โรแมนติก” สุดยอดของการท่องเที่ยวเมืองเวนิสที่นักท่องเที่ยวมักไม่ยอมพลาดและผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น แต่สิ่งที่ผมทึ่งก็คือ ค่าจ้างของคนพายเรือ ในเวลาครึ่งชั่วโมงของการให้บริการนั้น คนพายเรือคิดค่าบริการตกเป็นเงินไทยประมาณ
4,000-5,000 บาท คร่าว ๆ ถ้าทำวันละ 4-5 เที่ยว โดยเฉลี่ยเขาก็จะได้เงินวันละ 20,000 บาท
เดือนหนึ่งถ้าทำซัก 20 วัน ก็จะมีรายได้ถึงเดือนละ 4 แสนบาท
ซึ่งถ้าเป็นคนไทยจะได้รายได้ขนาดนี้คงต้องเป็นคนระดับซีอีโอของบริษัททีเดียว อย่างไรก็ตาม
ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีคนหน้าตาแบบคนต่างชาติเช่นคนเชื้อสายเอเซียเป็นคนแจวเรือกอนโดลาเลย ดังนั้น
ผมเชื่อว่าอาชีพนี้คงมีการสงวนไว้เฉพาะแต่คนท้องถิ่นเท่านั้นที่ทำได้
ความเชื่อของผมในเรื่องนี้ก็คือ รายได้ของคนแจวเรือกอนโดลาที่เมืองเวนิส ซึ่งผมดูแล้ว
ไม่ได้มีความสามารถหรือทักษะพิเศษอะไร
แต่ได้ผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับคนที่ทำงานหนักเท่า ๆ
กันในเมืองไทยหรือในประเทศแถบเอเซียส่วนใหญ่
ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้หรือในอิตาลีคงได้เงินเดือนที่สูงมากเมื่อเทียบกับงานที่ทำ แต่ถ้าถามว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงยอมจ่าย คำตอบก็คือ
เมืองเวนิสนั้น
เป็นเมืองที่น่าจะเป็นสุดยอดของเมืองที่น่าเที่ยวเมืองหนึ่งของโลก
ผมหรือคนจำนวนมากจึงยอมจ่ายเพื่อโอกาสอันพิเศษสุดนี้ ถ้าจะเปรียบไป
คนเอเชียหรือคนเมืองอื่นที่มาเที่ยวเวนิส
หรืออีกหลาย ๆ
เมืองในอิตาลีหรือในยุโรปยอมทำงานหนักและงานที่ใช้ความสามารถสูงเพื่อที่จะผลิตสินค้ามาให้คนเวนิสใช้อย่างเต็มที่
โดยที่คนเวนิสอาจจะตอบแทนด้วยการให้คนเหล่านั้นมาพักและนั่งเรือกอนโดลาที่พายโดยคนเวนิสปีละครั้ง ดูไปแล้วไม่ใคร่ยุติธรรม
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนแบบนี้จะดำรงอยู่ไปได้นานเท่าไร
เรื่องที่สามที่น่าแปลกใจก็คือ ในห้างสินค้าแบรนด์เนมหรูหลุยส์วิตตองในกรุงลอนดอน
ผมพบว่าลูกค้าต้องเข้าคิวรอเข้าชมสินค้าในร้าน
เพราะเขาจำกัดจำนวนลูกค้าให้เข้าชมและซื้อสินค้าเพื่อไม่ให้ร้านแน่นเกินไป นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ประมาณ 80-90% ของคนที่อยู่ในร้านและรอคิวอยู่นั้น
เป็นคนหน้าตาแบบเอเซียซึ่งผมเชื่อว่าเป็นนักท่องเที่ยว สินค้าของหลุยส์วิตตองนั้น เราทราบดีว่าราคาสูงกว่าต้นทุนมาก เรียกว่าทำกำไรให้กับเจ้าของมหาศาล สินค้าเหล่านั้น
ผมเชื่อว่าผลิตในประเทศแถบเอเซียด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก และก็ขายให้คนเอเชียในราคาที่สูงมาก เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับว่า
คนเอเซียคงต้องทำงานหนักมากเพื่อผลิตสินค้าให้คนยุโรปใช้ แล้วก็กลับไปขอแบ่งสินค้าบางส่วนกลับมาพร้อมกับความยินดีที่ได้สินค้ามีชื่อที่สามารถเอามาอวดเพื่อนที่บ้าน
พูดถึงเรื่องสินค้าแบรนด์เนม ในระหว่างที่อยู่อังกฤษผมได้ข่าวว่าบริษัทผู้ผลิตและขายสินค้าแบรนด์ดังอย่างปราดาซึ่งเป็นเจ้าของยี่ห้อมิวมิวด้วยนั้น กำลังขายสินค้าดีระเบิดในเอเชีย หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าคนเอเชียนั้น เห่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมดัง ๆ
แบบเดียวกับที่คนอังกฤษเข้าห้างไพร์มมาร์คซึ่งเป็นห้างขายสินค้าแฟชั่นราคาถูกคุณภาพดีกลางกรุงลอนดอน ผมฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า บางทีโลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไป คนอังกฤษและอาจจะรวมถึงคนยุโรปกำลังหันมาซื้อสินค้าราคาถูกคุณภาพใช้ได้แต่ไม่มีแบรนด์จากเอเซีย ส่วนคนเอเชียนั้น
ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมากให้กับคนยุโรปเพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อ “หน้าตา”
ของตน
ผมเองก็ไม่รู้ว่าแนวทางธุรกิจแบบนี้จะดำเนินไปได้นานแค่ไหน
แต่ถ้าให้เดาจากคิวของลูกค้าร้านหลุยส์วิตตองแล้ว ผมก็คิดว่าคงไม่เร็วนักที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้
จากเหตุการณ์ 3
เรื่องที่กล่าวมา ผมเองสรุปว่า ยุโรปในวันนี้
น่าจะเป็นยุโรปที่กำลัง “ตกดิน” มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ยังสูงมากในวันนี้ ดูเหมือนว่ากำลังหยุดนิ่งและค่อย ๆ
ลดต่ำลง คนทำงานน้อยลง คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้ทำงานนั่นคือ ตกงาน
และไม่ได้ทำงานที่ใช้ทักษะสูงมากมายอะไรนัก จำนวนมากทำงานบริการพื้น ๆ ที่คนเอเชียทำได้ดีไม่แพ้กัน
สิ่งที่ทำให้ยุโรปยังดำรงความโดดเด่นอยู่ได้ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ
ยุโรปนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานและยิ่งใหญ่น่าทึ่งน่าสนใจและมีโบราณสถานที่ทำให้คนมาท่องเที่ยวและยอมจ่ายเงินในราคาที่แพงมาก นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว ยุโรปยัง
“ผูกขาด”
ในเรื่องของ “การเป็นผู้มีรสนิยมสูง” ผ่านสินค้าที่เป็นแบรนด์หรูหราระดับโลก
สองสิ่งนี้ผมเชื่อว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาสถานะการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงของยุโรปไว้ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม
การที่ยุโรปจะก้าวหน้าหรือโตต่อไปนั้น
ดูแล้วน่าจะยากเหลือเกิน เหนือสิ่งอื่นใด พื้นฐานที่สำคัญจริง ๆ ของการที่จะมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูงได้จริง
ๆ ในโลกที่เป็นโลกาภิวัฒน์นั้นก็คือ คุณต้องทำงานหนักและเป็นงานที่มีคุณค่าสูง
พูดมาเสียยาว
ถ้าจะถามว่านี่จะมีอะไรที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือเปล่า? คำตอบของผมก็คือ คงจะเกี่ยวอยู่บ้างในแง่ที่เราจะวิเคราะห์สถานการณ์ของยุโรปที่กำลังประสบกับปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจรุนแรงในช่วงนี้ ในความคิดของผม
คนยุโรปเองน่าจะใช้ชีวิตที่สูงกว่าความสามารถของตนมานานพอสมควรโดยผ่านการกู้หนี้หรือก็คือ “ยืมอนาคตมาใช้” แต่อนาคตที่ว่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอยู่จริง ดังนั้น
ยุโรปจำเป็นที่จะต้องลดมาตรฐานความเป็นอยู่ลงและนี่คือสิ่งที่น่าจะต้องเกิดขึ้น อาจจะผ่านสิ่งที่เรียกว่า “วิกฤติเศรษฐกิจ” ผมพูดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมกำลังทำนายว่ากรีซจะ
“ไปไม่รอด” หรืออิตาลีจะต้องประสบภาวะวิกฤติเร็ว
ๆ นี้
บางทียุโรปอาจจะสามารถลดมาตรฐานการดำรงชีวิตลงอย่างช้า ๆ
เทียบกับคนเอเชียได้โดยไม่ต้องผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่ายุโรปนั้น
กำลังตกดินและจะไม่กลับมายิ่งใหญ่อีกในชั่วอายุของเรา
6 ตุลาคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น