เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้
ถ้าจะวิเคราะห์ผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนั้น
เราควรแยกความเสียหายออกเป็นสองด้านนั่นคือ ความเสียหายจากทรัพย์สิน
และความเสียหายจากธุรกิจเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ยอดขายที่ลดลงในระยะสั้นและระยะยาว โดยทั่วไปบริษัทมักจะเสียหายทั้งสองด้าน คือทรัพย์สินเสียหาย แล้วตามด้วยธุรกิจที่ถดถอยลง อย่างไรก็ตาม
บางบริษัททรัพย์สินเสียหายบ้าง
แต่ธุรกิจก็ไม่ได้ด้อยลง
อาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ เช่นเดียวกัน บางบริษัท
ทรัพย์สินไม่ได้เสียหาย
แต่ธุรกิจด้อยลง
ลองมาดูกันว่าธุรกิจแต่ละอย่างถูกกระทบอย่างไร
บริษัทที่ทำนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่ถูกน้ำท่วมรุนแรงนั้นต้องถือว่าเป็นผู้ที่เสียหายหนักทั้งด้านของทรัพย์สินและการเสียหายด้านธุรกิจ
ประเด็นของการเสียหายด้านทรัพย์สินนั้นมีทั้งด้านของสาธารณูปโภคของนิคมเช่น
ระบบไฟฟ้าซึ่งรวมถึงเครื่องปั่นไฟที่บริษัทมักจะผลิตไฟฟ้าขายให้กับบริษัทในนิคม เครื่องทำน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย และอื่น ๆ
อีกมาก อย่างไรก็ตาม ความเสียหายในส่วนนี้ บริษัทมักมีการทำประกันไว้ ดังนั้น
ก็จะได้รับการชดเชยบ้าง แต่ทรัพย์สินสำคัญที่น่าจะเสียหายอย่างหนัก แต่เราอาจจะยังไม่ตระหนักก็คือ “การลดค่าของที่ดิน” เนื่องจากทำเลนั้นกลายเป็นทำเลที่
“ไม่เหมาะสมสำหรับการสร้างโรงงาน” เนื่องจากอาจจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ได้อีกในอนาคต
ซึ่งการเสียหายแบบหลังนี้น่าจะสูงกว่าแบบแรก รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นความเสียหายที่ไม่มีการทำประกันไว้
ความเสียหายทางธุรกิจของนิคมอุตสาหกรรมเองก็น่าจะสูงมาก เหตุผลก็เพราะว่าลูกค้ารายใหม่ ๆ
ที่คิดจะซื้อที่ดินสร้างโรงงานก็คงหลีกเลี่ยงที่จะซื้อที่ดินเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคต จริงอยู่
นิคมอาจจะทำระบบกำแพงป้องกันน้ำท่วมแบบแข็งแรงน้ำไม่สามารถเข้าไปท่วมได้
แต่นั่นก็ไม่รับประกันว่าโรงงานที่อยู่ข้างในจะสามารถเปิดดำเนินการได้ถ้าภายนอกนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำและคนและวัตถุดิบต่าง
ๆ ไม่สามารถจะเข้าไปได้ นอกจากนั้น
การสร้างกำแพงป้องกันก็ต้องลงทุนไม่น้อย
และไม่ว่าจะเป็นกรณีใด
ราคาขายที่ดินถ้าไม่ลดลงก็คงจะไม่สามารถปรับขึ้นไปได้ ดังนั้น
ดูไปแล้ว
ธุรกิจของนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมคงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากไปอีกนานพอสมควรทีเดียว อย่างมากที่จะทำได้ก็คือ ต้องไปหาทำเลใหม่และเริ่มต้นนับหนึ่งจากทำเลนั้น
ซึ่งกว่าจะเริ่มออกดอกผลก็มักจะต้องใช้เวลานานเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ต้องใส่ลงไป
บริษัททำบ้านจัดสรร
โดยเฉพาะที่มีโครงการและที่ดินเหลืออยู่ในทำเลที่ถูกน้ำท่วมหนักเช่นในย่านบางบัวทองหรือบางใหญ่ ความเสียหายของทรัพย์สินนั้นในทางบัญชีอาจจะดูเหมือนว่าจะมีน้อย อย่างไรก็ตาม
นี่ก็เหมือนกับในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมนั่นคือ
มันไม่ได้รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากการลดค่าของที่ดินซึ่งน่าจะมีไม่น้อย ผมเองไม่ได้มีตัวเลขที่ชัดเจน
แต่เมื่อคิดถึงตัวเองที่มีที่ดินจัดสรรอยู่ในเขตน้ำท่วมรุนแรงซ้ำซากแล้ว
ถ้าขายได้ครึ่งหนึ่งของราคาเดิมผมก็พอใจแล้ว
ในกรณีของที่ดินในโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่โดนน้ำท่วมหนักในครั้งนี้ ผมคิดว่าราคาจะลดลงซัก 20-30% ก็น่าจะเป็นไปได้
ในส่วนของธุรกิจบ้านจัดสรรเองนั้น
ผมคิดว่าการขายบ้านที่อยู่ในเขตน้ำท่วมหนักครั้งนี้คงจะยากขึ้นมากโดยเฉพาะในช่วงปีหรือสองปีนี้
ว่าที่จริงแม้แต่บ้านที่มีการวางมัดจำหรือผ่อนดาวน์ไปบ้างแล้วก็น่าจะมีการทิ้งดาวน์ไม่ไปโอนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เหตุผลนอกจากการไม่อยากมีบ้านอยู่ในทำเลที่ “ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย” แล้ว
ก็อาจจะเป็นเพราะคนที่จองซื้อไว้อาจจะมองว่าราคาของบ้านคงจะลดลงมา ดังนั้นจึงยอมทิ้งดาวน์ และถ้าอยากจะได้จริง ๆ
ก็ค่อยไปซื้อใหม่น่าจะได้บ้านในราคาที่ถูกกว่า ดังนั้น
ธุรกิจของบริษัทที่มีโครงการและที่ดินอยู่ในเขตน้ำท่วมหนักอย่างมีนัยสำคัญคงถูกกระทบค่อนมากในช่วง
2-3 ปีข้างหน้า
วิธีการแก้ไขก็คงต้องไปทำโครงการที่อยู่ในทำเลที่ไม่ถูกน้ำท่วมรุนแรง อย่างไรก็ตาม
นี่ก็มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการ
บริษัทที่เป็นโรงงานผลิตสินค้า
เช่น ชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคและยานยนต์ที่มีโรงงานหลักอยู่ในเขตที่น้ำท่วมรุนแรงนั้น
ความเสียหายจากทรัพย์สินคงจะมีไม่น้อยทีเดียวแม้ว่าจะมีการประกันภัยไว้ เพราะนอกจากทรัพย์สินแล้ว โรงงานคงมีค่าใช้จ่ายที่ไม่น่าจะเคลมคืนได้เช่น ค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรงงาน ค่าแรงคนงานที่มักจะยังต้องจ่ายในระดับถึง
75% ของค่าแรงพื้นฐาน สินค้าและวัตถุดิบที่เสียหาย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมาก
ในส่วนของความเสียหายทางด้านธุรกิจนั้นผมคิดว่าคงมีไม่น้อยเหมือนกันโดยเฉพาะผู้ผลิตที่เป็นผู้ส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นหลัก
เหตุผลนั้นนอกจากความเสียหายที่ไม่สามารถขายสินค้าได้ในช่วงที่โรงงานถูกน้ำท่วมเป็นเดือน
ๆ แล้ว
ในระยะยาวออกไปหลังจากที่โรงงานกลับมาดำเนินการใหม่บริษัทเองก็อาจจะประสบปัญหาในการขายได้เหมือนกันในแง่ที่ว่า ลูกค้าเดิมนั้นอาจจะหันไปหาซัพพลายเออร์รายใหม่ไปแล้วเนื่องจากเขารอไม่ไหว จริงอยู่
บริษัทน่าจะได้รับออเดอร์กลับมาบ้าง
แต่ผู้ซื้อก็อาจจะต้องกระจายความเสี่ยงโดยการสั่งซื้อจากที่อื่นมากขึ้นเนื่องจากเขากลัวว่าถ้าเกิดปัญหาน้ำท่วมอีกในอนาคต การผลิตของเขาจะมีปัญหาอีกเช่นในปีนี้
ธุรกิจเช่นพวกผู้ค้าปลีกเองนั้น
ความเสียหายจากทรัพย์สินเองมักจะมีไม่มากเนื่องจากมักจะเป็นแค่ร้านค้าหรือศูนย์กระจายสินค้าที่อยู่ในเขตน้ำท่วมหนัก
เครื่องมือหรืออุปกรณ์มักมีราคาไม่สูงและน่าจะมีการประกันภัยไว้ ในส่วนของธุรกิจเอง ความเสียหายส่วนใหญ่น่าจะมาจากยอดขายที่หายไปจากการปิดสาขาร้านที่อยู่ในเขตน้ำท่วมหนัก อย่างไรก็ตาม
เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมแล้วก็ยังไม่มากมายนัก
ความเสียหายอีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่สินค้าขาดเนื่องจากระบบจัดส่งสินค้าขัดข้องเนื่องจากศูนย์กระจายสินค้าถูกน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม
ยอดขายที่ลดลงนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องระยะสั้น
เมื่อน้ำลดหรือระบบกระจายสินค้าทั้งที่เป็นศูนย์ชั่วคราวหรือศูนย์เดิมทำงานได้แล้ว ยอดขายก็จะกลับมาเป็นปกติ ผลกระทบระยะยาวมีน้อยมาก
สุดท้ายก็คือบริษัทที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูบ้านหรือสิ่งก่อสร้างหลังน้ำลด
นี่รวมถึงผู้ขายวัสดุและผู้รับเหมาก่อสร้าง
บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะไม่ใคร่ถูกกระทบในด้านของทรัพย์สินที่เสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ ในด้านของธุรกิจเองนั้น
ในช่วงน้ำกำลังท่วมบริษัทอาจจะมียอดขายที่ลดลงบ้างเนื่องจากปัญหาการคมนาคมและตัวลูกค้าและคนงานที่อาจจะพะวงอยู่กับปัญหาน้ำท่วม แต่หลังจากน้ำลดลงแล้ว ธุรกิจก็จะเฟื่องฟูมากจน “ทำไม่ทัน” และมากกว่ายอดขายที่เสียไป
ยอดขายหรือธุรกิจที่ดีขึ้นนี้น่าจะดำรงอยู่อย่างน้อยก็ 1-2 ปีขึ้นไป
และต้องถือว่านี่คือกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์จากน้ำท่วมใหญ่ ในขณะที่กลุ่มอื่นทั้งหมดนั้น
โดยรวมแล้วมักจะเสียหายหรือขาดทุนหรืออย่างมากก็เสมอตัวในเหตุการณ์วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้
11 พฤศจิกายน
2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น