วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทอง ทอง ทอง



ในช่วงนี้ที่หุ้นดูเหมือนจะไม่ไปไหน  พันธบัตรและเงินฝากก็มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมากเพียง 3-4% ต่อปีเป็นอย่างมาก  ที่ดินเองก็ไม่ขยับ  ความปลอดภัยของเงินก็เริ่มมีน้อยลงเพราะภายในหนึ่งปีรัฐบาลก็จะเริ่มค้ำประกันเงินฝากของผู้ฝากเงินในแต่ละแบงค์ไม่เกิน 1 ล้านบาท  เหนือสิ่งอื่นใด  ภาวะเศรษฐกิจโลกก็ยังน่าเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะถดถอยอย่างแรงอีกครั้ง  แต่สิ่งที่ร้อนแรงมากก็คือ  ทองคำ  เพราะราคาทองมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นเป็น  กระทิงดุ  ราคาขึ้นวันเดียว 1,000 บาทต่อบาททองคำ แตะ 26,400 บาท เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 54  โดยที่ราคาตลาดโลกสูงถึง 1,869 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์  และเป็นการขึ้นต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ  นับได้ถึงสิบปีแล้ว  การลงทุนในทองคำดูเหมือนว่าจะเป็นการลงทุนที่  ใช่เลย  สำหรับหลาย ๆ  คน  เหนือสิ่งอื่นใด  ราคาทองคำ  ไม่มีลง  มันมีความปลอดภัยสูงมาก  ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนเรียกมันว่า  “Safe Heaven”  มันเป็นสวรรค์ในยามที่เกิดวิกฤติและโกลาหลขึ้นในโลก  มาดูกันว่าเราควรลงทุนในทองคำไหม?
ก่อนที่จะพูดถึงเหตุผลในแง่ของ  พื้นฐาน  มาดูสถิติผลตอบแทนของทองคำในระยะยาวที่ผ่านมาก่อน   เพราะนี่จะช่วยเตือนสติเราว่า  ทองคำนั้น  ไม่ได้ เปล่งแสงวับวาว  ตลอดเวลา   และการเข้าไปลงทุนผิดจังหวะก็อาจจะทำให้เราเสียหายรุนแรงได้เหมือนกัน
มองย้อนหลังไปถึงประมาณปี 2520 ซึ่งผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ  และเคยซื้อทองเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต  ผมจำได้ว่าทองรูปพรรณในขณะนั้นราคาบาทละน่าจะประมาณพันบาทต้น ๆ  ตีเสียว่าประมาณ 1,100 บาท  ถ้าผมเก็บทองชิ้นนั้นไว้ถึงวันนี้เป็นเวลา 34 ปี เท่ากับว่าเงินเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 24 เท่า  นี่ดูเหมือนจะมากมโหฬาร  แต่ถ้ามาคำนวณผลตอบแทนแบบทบต้นแต่ละปีก็จะพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยนั้นเท่ากับประมาณ 10% ต่อปีเท่านั้น  ไม่ได้หรูหรามากแต่ก็ดีทีเดียวเมื่อเทียบกับการลงทุนอย่างอื่น  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  หุ้น  ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน สูงที่สุด
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 34 ปีที่ผ่านมานั้นถ้าคิดแบบง่าย ๆ  ว่าดัชนีตลาดหุ้นก็คือราคาหุ้นโดยเฉลี่ยทั้งตลาดก็คือประมาณ 100 จุดหรือร้อยบาทในปี 2520  ถ้าเราลงทุนถือมาจนถึงวันนี้ที่ดัชนีตลาดเท่ากับ 1,069 จุดก็คือราคาเพิ่มขึ้นมาเป็น 1,069 บาท  หรือเพิ่มขึ้นมา 10.69 เท่า  เปรียบเทียบกับราคาทองคำที่ขึ้นมาถึง 24 เท่าก็น่าจะถือว่าการลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ามาก  อย่างไรก็ตาม   การลงทุนในหุ้นนั้น  แต่ละปียังมีปันผลที่มักจะให้ผลตอบแทนประมาณ 3-4%  ซึ่งเมื่อรวมกับผลตอบแทนจากการที่ดัชนีเพิ่มขึ้นก็ทำให้หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นประมาณ  10% ต่อปีเหมือนกัน  ดังนั้น  ข้อสรุปสำหรับการลงทุนที่ผ่านมา 34 ปีก็คือ  ทองกับหุ้นให้ผลตอบแทนพอ ๆ  กันที่ประมาณ 10% ต่อปี
แต่ผลตอบแทนของทองนั้นก็ไม่ได้สม่ำเสมอและปลอดภัยสุด ๆ  อย่างที่หลายคนอาจจะคิด  ในช่วงปี 2522  ถึง 2523 นั้น  ราคาทองได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างมโหฬารคือเพียงปีเดียวราคาขึ้นไปจากประมาณ 200 เหรียญต่อออนซ์ เป็นประมาณ 850 เหรียญอันเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงเป็นสองหลักหรือกว่า 10%  ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างแรงซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติในอิหร่านและการยึดสถานทูตของสหรัฐในอิหร่าน  และการที่โซเวียตรุกเข้าไปในอัฟกานิสถาน    ถ้าเราเข้าไปซื้อทองเพื่อลงทุนในปี 2523  โดยคิดว่าทองน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมเนื่องจากมันปรับตัวขึ้นเร็วมากกว่า 300%  ในปีเดียว  เราก็จะพบว่าเราคิดผิดอย่างแรง  เพราะหลังจากที่เหตุการณ์ต่าง ๆ  คลี่คลายลง  ราคาทองคำก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วเหลือเพียงประมาณ 300 เหรียญต้น ๆ  ต่อออนซ์ในปี  2525 และหลังจากนั้น  ราคาทองคำก็ไม่ค่อยได้ไปไหน  ขยับอยู่ระหว่างประมาณ 250 ถึง 450 เหรียญเป็นเวลาเกือบ 20 ปี จนถึงปี 2544  พูดง่าย ๆ  คนที่ถือทองคำอยู่ไม่ได้ผลตอบแทนเลยเป็นเวลา 20 ปี  ในขณะที่หุ้นนั้น  ทุกปียังมีปันผล  ปลอบใจ  แม้ว่าหุ้นอาจจะนิ่งหรือตกลงมา
ช่วงที่ดีที่สุดของทองคำและเป็นช่วงที่ ดึงผลตอบแทนระยะยาวของทองคำให้สูงขึ้นจนน่าประทับใจก็คือช่วงทศวรรษหรือ 10 ปีที่ผ่านมานี้เอง  ตั้งแต่ปี 2544 ถึง ปัจจุบัน  ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแทบจะตลอดเวลา  จากราคาประมาณ 271 เหรียญเป็นประมาณ 1850 เหรียญต่อออนซ์ในปัจจุบัน  คิดแล้วเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 583% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 21.2% ต่อปีและน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทรัพย์สินอื่นทั้งหมด  และแม้แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ราคาทองก็ตกลงมาเพียงประมาณ 30% น้อยกว่าตลาดหุ้นที่ตกลงมาเกือบ 50%  และหลังจากนั้นทองก็วิ่งขึ้นมาแทบจะไม่สะดุดเลยจนถึงวันนี้
ทองจะไปทางไหนต่อ  มันจะยังคงวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  หรือมันใกล้จะเป็นฟองสบู่  เป็นเรื่องที่คาดได้ยาก  โดยทฤษฎีแล้ว  ทองนั้นจะปรับตัวขึ้นเมื่อเกิดเหตุหรือสภาวการณ์ใหญ่ ๆ  3  ประการด้วยกันคือ  เรื่องแรก  เมื่อเกิดภาวะ  วิกฤติทางการเงินหรือเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะเมื่อสถาบันการเงินมีปัญหาสภาพคล่องรุนแรง  เช่นเดียวกัน  ปัญหาทางการเมืองและสงครามก็มักจะทำให้ราคาทองพุ่ง  เหตุผลก็คือ  ทองนั้นสามารถรักษามูลค่าของมันได้เสมอ  เพราะมันเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก  เรื่องที่สองก็คือ  เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงหรือลดค่าลง  เหตุผลก็คือ  ทองนั้นเป็นคล้าย ๆ  กับเงินสกุลหนึ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือเงินได้ทั้งโลกเหมือนกับเงินดอลลาร์สหรัฐเหมือนกัน  ดังนั้น  เมื่อเงินดอลลาร์อ่อน  ทองก็มัก  แข็ง  หรือมีราคาสูงขึ้นนั่นเอง  เรื่องที่สามก็คือ  เมื่อเงินเฟ้อมีอัตราสูง  นั่นก็คือ  มีเงินหมุนเวียนในระบบมากเกินไป  มากกว่าของหรือสินค้าที่มีอยู่  ดังนั้น  เงินก็จะมาไล่ซื้อทองจึงทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพื่อรักษาค่าของมัน
จากเหตุผล 3 ข้อข้างต้นก็จะพบว่าในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ  นี้   ภาวะวิกฤติทางการเงินยังคงอยู่ทั้งในยุโรปและอเมริกา  เช่นเดียวกัน  เงินดอลลาร์ก็อยู่ในช่วงที่ตกต่ำลงมาเรื่อย ๆ  เนื่องจากเหตุผลหลาย ๆ  อย่างรวมถึงการขาดดุลการค้าและงบประมาณที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันเป็นหนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ  และสุดท้าย  ภาวะเงินเฟ้อก็ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นมากเช่นกัน  นอกจากนั้น  ปริมาณของทองคำ  ซึ่งในโลกนี้ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ค่อนข้างจำกัดนั้น  กลับมีความต้องการสูงขึ้น  ทั้งจากประชาชนในอินเดียและจีนที่มีรายได้สูงขึ้นมาก  และจากธนาคารกลางของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายโดยเฉพาะจีน อินเดีย  และรวมถึงประเทศอื่น ๆ  เช่นไทย  ต่างก็มีเงินสำรองที่เป็นดอลลาร์สูงมากและต้องการซื้อทองเพื่อนำมาใช้เป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น  สาเหตุเหล่านี้ทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งก็ยิ่งทำให้  นักเก็งกำไร  และรวมถึงนักลงทุน  ต่างก็เข้ามาซื้อทองคำส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นไปอีก  คำถามก็คือ  นี่เป็น ฟองสบู่ทองคำหรือยัง?
ผมเองตอบไม่ได้  แต่วันหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ  นี้  ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่คนดูแลแม่ยายผมซึ่งเราจ้างมา  เธอเป็นผู้หญิงอายุเกือบ 50 ปีและไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการลงทุน  และเงินก็มีไม่มาก  เธอบอกผมว่าเธออยากจะลงทุนซื้อทองซักบาทหนึ่งเพราะเห็นว่าราคามันขึ้นไปสูงมากเป็นกว่าสองหมื่นบาทแล้ว  ผมถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร   เธอบอกว่าเห็นจากทีวี   หลังจากนั้นผมก็มาคิดว่า  บางทีราคาทองน่าจะใกล้เป็นฟองสบู่แล้ว  ดังนั้น  ใครที่คิดจะซื้อทองลงทุนก็คงต้องระวัง  แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลงทุนไม่ได้เลย  ผมคิดว่าการลงทุนไม่เกิน 10% ของพอร์ตการลงทุนรวมก็ไม่น่าจะเสี่ยงมากนัก  เหนือสิ่งอื่นใด  ทองนั้น  มักจะสามารถรักษามูลค่าของมันได้ในยามที่เลวร้ายที่สุด       
     
23 สิงหาคม  2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น