ในช่วงนี้ที่หุ้นดูเหมือนจะไม่ไปไหน
พันธบัตรและเงินฝากก็มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมากเพียง 3-4%
ต่อปีเป็นอย่างมาก
ที่ดินเองก็ไม่ขยับ ความปลอดภัยของเงินก็เริ่มมีน้อยลงเพราะภายในหนึ่งปีรัฐบาลก็จะเริ่มค้ำประกันเงินฝากของผู้ฝากเงินในแต่ละแบงค์ไม่เกิน
1 ล้านบาท เหนือสิ่งอื่นใด
ภาวะเศรษฐกิจโลกก็ยังน่าเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะถดถอยอย่างแรงอีกครั้ง แต่สิ่งที่ร้อนแรงมากก็คือ ทองคำ
เพราะราคาทองมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นเป็น “กระทิงดุ” ราคาขึ้นวันเดียว 1,000
บาทต่อบาททองคำ แตะ 26,400 บาท เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 54 โดยที่ราคาตลาดโลกสูงถึง 1,869
เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
และเป็นการขึ้นต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ
นับได้ถึงสิบปีแล้ว
การลงทุนในทองคำดูเหมือนว่าจะเป็นการลงทุนที่ “ใช่เลย” สำหรับหลาย ๆ คน
เหนือสิ่งอื่นใด ราคาทองคำ “ไม่มีลง” มันมีความปลอดภัยสูงมาก ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนเรียกมันว่า “Safe Heaven” มันเป็นสวรรค์ในยามที่เกิดวิกฤติและโกลาหลขึ้นในโลก มาดูกันว่าเราควรลงทุนในทองคำไหม?
ก่อนที่จะพูดถึงเหตุผลในแง่ของ “พื้นฐาน” มาดูสถิติผลตอบแทนของทองคำในระยะยาวที่ผ่านมาก่อน เพราะนี่จะช่วยเตือนสติเราว่า ทองคำนั้น
ไม่ได้ “เปล่งแสงวับวาว” ตลอดเวลา
และการเข้าไปลงทุนผิดจังหวะก็อาจจะทำให้เราเสียหายรุนแรงได้เหมือนกัน
มองย้อนหลังไปถึงประมาณปี 2520 ซึ่งผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ
และเคยซื้อทองเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ผมจำได้ว่าทองรูปพรรณในขณะนั้นราคาบาทละน่าจะประมาณพันบาทต้น
ๆ ตีเสียว่าประมาณ 1,100 บาท ถ้าผมเก็บทองชิ้นนั้นไว้ถึงวันนี้เป็นเวลา 34
ปี เท่ากับว่าเงินเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 24 เท่า
นี่ดูเหมือนจะมากมโหฬาร
แต่ถ้ามาคำนวณผลตอบแทนแบบทบต้นแต่ละปีก็จะพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยนั้นเท่ากับประมาณ
10% ต่อปีเท่านั้น ไม่ได้หรูหรามากแต่ก็ดีทีเดียวเมื่อเทียบกับการลงทุนอย่างอื่น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ หุ้น
ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน “สูงที่สุด”
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 34
ปีที่ผ่านมานั้นถ้าคิดแบบง่าย ๆ
ว่าดัชนีตลาดหุ้นก็คือราคาหุ้นโดยเฉลี่ยทั้งตลาดก็คือประมาณ 100
จุดหรือร้อยบาทในปี 2520
ถ้าเราลงทุนถือมาจนถึงวันนี้ที่ดัชนีตลาดเท่ากับ 1,069
จุดก็คือราคาเพิ่มขึ้นมาเป็น 1,069 บาท
หรือเพิ่มขึ้นมา 10.69 เท่า
เปรียบเทียบกับราคาทองคำที่ขึ้นมาถึง 24
เท่าก็น่าจะถือว่าการลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ามาก อย่างไรก็ตาม
การลงทุนในหุ้นนั้น
แต่ละปียังมีปันผลที่มักจะให้ผลตอบแทนประมาณ 3-4% ซึ่งเมื่อรวมกับผลตอบแทนจากการที่ดัชนีเพิ่มขึ้นก็ทำให้หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นประมาณ 10% ต่อปีเหมือนกัน ดังนั้น
ข้อสรุปสำหรับการลงทุนที่ผ่านมา 34 ปีก็คือ ทองกับหุ้นให้ผลตอบแทนพอ ๆ กันที่ประมาณ 10% ต่อปี
แต่ผลตอบแทนของทองนั้นก็ไม่ได้สม่ำเสมอและปลอดภัยสุด ๆ อย่างที่หลายคนอาจจะคิด ในช่วงปี 2522
ถึง 2523 นั้น
ราคาทองได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างมโหฬารคือเพียงปีเดียวราคาขึ้นไปจากประมาณ 200
เหรียญต่อออนซ์ เป็นประมาณ 850
เหรียญอันเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงเป็นสองหลักหรือกว่า 10%
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างแรงซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติในอิหร่านและการยึดสถานทูตของสหรัฐในอิหร่าน และการที่โซเวียตรุกเข้าไปในอัฟกานิสถาน ถ้าเราเข้าไปซื้อทองเพื่อลงทุนในปี 2523 โดยคิดว่าทองน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมเนื่องจากมันปรับตัวขึ้นเร็วมากกว่า
300% ในปีเดียว เราก็จะพบว่าเราคิดผิดอย่างแรง เพราะหลังจากที่เหตุการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง
ราคาทองคำก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วเหลือเพียงประมาณ 300 เหรียญต้น ๆ ต่อออนซ์ในปี
2525 และหลังจากนั้น
ราคาทองคำก็ไม่ค่อยได้ไปไหน
ขยับอยู่ระหว่างประมาณ 250 ถึง 450 เหรียญเป็นเวลาเกือบ 20 ปี จนถึงปี
2544 พูดง่าย ๆ คนที่ถือทองคำอยู่ไม่ได้ผลตอบแทนเลยเป็นเวลา 20
ปี ในขณะที่หุ้นนั้น ทุกปียังมีปันผล “ปลอบใจ” แม้ว่าหุ้นอาจจะนิ่งหรือตกลงมา
ช่วงที่ดีที่สุดของทองคำและเป็นช่วงที่ “ดึง” ผลตอบแทนระยะยาวของทองคำให้สูงขึ้นจนน่าประทับใจก็คือช่วงทศวรรษหรือ
10 ปีที่ผ่านมานี้เอง ตั้งแต่ปี 2544 ถึง
ปัจจุบัน
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแทบจะตลอดเวลา
จากราคาประมาณ 271 เหรียญเป็นประมาณ 1850 เหรียญต่อออนซ์ในปัจจุบัน คิดแล้วเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 583%
หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 21.2%
ต่อปีและน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทรัพย์สินอื่นทั้งหมด และแม้แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008
ราคาทองก็ตกลงมาเพียงประมาณ 30% น้อยกว่าตลาดหุ้นที่ตกลงมาเกือบ 50% และหลังจากนั้นทองก็วิ่งขึ้นมาแทบจะไม่สะดุดเลยจนถึงวันนี้
ทองจะไปทางไหนต่อ
มันจะยังคงวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ
หรือมันใกล้จะเป็นฟองสบู่
เป็นเรื่องที่คาดได้ยาก โดยทฤษฎีแล้ว
ทองนั้นจะปรับตัวขึ้นเมื่อเกิดเหตุหรือสภาวการณ์ใหญ่ ๆ 3
ประการด้วยกันคือ เรื่องแรก เมื่อเกิดภาวะ
“วิกฤติ” ทางการเงินหรือเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะเมื่อสถาบันการเงินมีปัญหาสภาพคล่องรุนแรง เช่นเดียวกัน
ปัญหาทางการเมืองและสงครามก็มักจะทำให้ราคาทองพุ่ง เหตุผลก็คือ
ทองนั้นสามารถรักษามูลค่าของมันได้เสมอ
เพราะมันเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก
เรื่องที่สองก็คือ เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงหรือลดค่าลง เหตุผลก็คือ
ทองนั้นเป็นคล้าย ๆ
กับเงินสกุลหนึ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือเงินได้ทั้งโลกเหมือนกับเงินดอลลาร์สหรัฐเหมือนกัน ดังนั้น
เมื่อเงินดอลลาร์อ่อน
ทองก็มัก “แข็ง” หรือมีราคาสูงขึ้นนั่นเอง เรื่องที่สามก็คือ เมื่อเงินเฟ้อมีอัตราสูง นั่นก็คือ
มีเงินหมุนเวียนในระบบมากเกินไป
มากกว่าของหรือสินค้าที่มีอยู่
ดังนั้น
เงินก็จะมาไล่ซื้อทองจึงทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพื่อรักษาค่าของมัน
จากเหตุผล 3 ข้อข้างต้นก็จะพบว่าในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้
ภาวะวิกฤติทางการเงินยังคงอยู่ทั้งในยุโรปและอเมริกา เช่นเดียวกัน
เงินดอลลาร์ก็อยู่ในช่วงที่ตกต่ำลงมาเรื่อย ๆ เนื่องจากเหตุผลหลาย ๆ
อย่างรวมถึงการขาดดุลการค้าและงบประมาณที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันเป็นหนี้สูงขึ้นเรื่อย
ๆ และสุดท้าย ภาวะเงินเฟ้อก็ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นมากเช่นกัน นอกจากนั้น
ปริมาณของทองคำ
ซึ่งในโลกนี้ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ค่อนข้างจำกัดนั้น กลับมีความต้องการสูงขึ้น
ทั้งจากประชาชนในอินเดียและจีนที่มีรายได้สูงขึ้นมาก
และจากธนาคารกลางของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายโดยเฉพาะจีน อินเดีย และรวมถึงประเทศอื่น ๆ เช่นไทย
ต่างก็มีเงินสำรองที่เป็นดอลลาร์สูงมากและต้องการซื้อทองเพื่อนำมาใช้เป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น สาเหตุเหล่านี้ทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้นเรื่อย
ๆ ซึ่งก็ยิ่งทำให้ นักเก็งกำไร
และรวมถึงนักลงทุน
ต่างก็เข้ามาซื้อทองคำส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นไปอีก คำถามก็คือ
นี่เป็น “ฟองสบู่ทองคำ” หรือยัง?
ผมเองตอบไม่ได้
แต่วันหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้
ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่คนดูแลแม่ยายผมซึ่งเราจ้างมา เธอเป็นผู้หญิงอายุเกือบ 50
ปีและไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการลงทุน
และเงินก็มีไม่มาก
เธอบอกผมว่าเธออยากจะลงทุนซื้อทองซักบาทหนึ่งเพราะเห็นว่าราคามันขึ้นไปสูงมากเป็นกว่าสองหมื่นบาทแล้ว ผมถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร เธอบอกว่าเห็นจากทีวี หลังจากนั้นผมก็มาคิดว่า บางทีราคาทองน่าจะใกล้เป็นฟองสบู่แล้ว ดังนั้น
ใครที่คิดจะซื้อทองลงทุนก็คงต้องระวัง
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลงทุนไม่ได้เลย ผมคิดว่าการลงทุนไม่เกิน 10%
ของพอร์ตการลงทุนรวมก็ไม่น่าจะเสี่ยงมากนัก
เหนือสิ่งอื่นใด ทองนั้น
มักจะสามารถรักษามูลค่าของมันได้ในยามที่เลวร้ายที่สุด
23
สิงหาคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น