วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลงทุนแบบผู้หญิง



ความแตกต่างในการลงทุนระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงนั้นมีการพูดถึงกันอยู่เรื่อย ๆ   ในสังคมไทยเรานั้นดูเหมือนจะมีการยอมรับกันพอสมควรว่าผู้ชายนั้นเป็นนักลงทุนที่ดีกว่าโดยมีเหตุผลหลาย ๆ  อย่าง  เช่น  ผู้ชายตัดสินใจได้  เด็ดขาด”  กว่า  ไม่  ลังเล”  แบบผู้หญิง   ผู้ชายกล้าได้กล้าเสียกว่า  ผู้ชายมีความมั่นใจในตนเองสูงกว่า   ผู้ชายฟังคนอื่นน้อยกว่า  และผู้ชายเก่งกว่าในด้านของตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ  มากกว่า  เหล่านี้ เป็นต้น  ด้วยความคิดนี้  ประกอบกับการที่คนมองเห็นแต่  เซียนหุ้น”  ที่เป็นผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่   ทำให้ การลงทุนแบบผู้หญิงนั้น  เป็นวิธีการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ  เป็นการลงทุนที่พึงหลีกเลี่ยงถ้าไม่อยากขาดทุนหรือไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน  แต่ทั้งหมดที่พูดถึงนี้เป็นความคิดของคนไทยที่โลกของการลงทุนยังถูกครอบงำโดยบุรุษเพศ

ในต่างประเทศมีการศึกษาเรื่องจิตวิทยาของผู้หญิงกับการลงทุนมากมายและพบว่าสิ่งที่คนไทยจำนวนมากอาจจะคิดนั้นไม่เป็นจริง  การลงทุนแบบ ผู้หญิงนั้น  เขาพบว่าเป็นวิธีการลงทุนที่เหนือกว่าการลงทุนแบบ ผู้ชาย”   และสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ชาย  แพ้”  นั้น  มีสาเหตุสำคัญหลาย ๆ  อย่าง  เรื่องหนึ่งก็คือ  ผู้ชายนั้นมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไปและสำคัญตนเองผิดว่าตนเองมีความเก่งเหนือกว่าคนอื่นโดยเฉลี่ย   นี่ทำให้ผมนึกถึงการศึกษาที่ให้คนจัดเกรดตนเองว่าขับรถได้ดีแค่ไหน   ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่มีความเห็นว่าตนเองขับรถได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้  เพราะความเป็นจริงก็คือ  จะต้องมีคนครึ่งหนึ่งที่ขับรถดีกว่าค่าเฉลี่ย  และอีกครึ่งหนึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย  เรามาลองดูกันว่าการศึกษาเรื่องการลงทุนระหว่าผู้หญิงกับผู้ชายเป็นอย่างไร

การศึกษาในตลาดสหรัฐอเมริกาพบว่า  ผู้หญิงมีการซื้อขายหุ้นบ่อยน้อยกว่าผู้ชาย  นั่นแปลว่าผู้หญิงถือหุ้นยาวกว่าผู้ชาย  นี่คงเป็นเรื่องของการตัดสินใจที่ผู้ชายมักจะทำเร็วและเด็ดขาดกว่า   แต่การซื้อ ๆ  ขาย ๆ  หุ้นบ่อยนั้น  ทำให้เกิดค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายสูง  นอกจากนั้นการ  ขาดทุน”  จากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขายก็มักจะ  กินกำไร”  ที่ควรจะได้ไปไม่น้อย   ยิ่งในตลาดอเมริกาที่ต้องเสียภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นด้วยก็ยิ่งทำให้ผลตอบแทนของผู้ชายลดลงเมื่อเทียบกับผู้หญิง

คุณสมบัติข้อต่อมาของผู้หญิงก็คือ  ผู้หญิงมักกลัวความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย  ดังนั้น  คนที่ลงทุนแบบผู้หญิงก็มักจะต้องการ  Margin of Safety หรือส่วนต่างเผื่อความปลอดภัยสูงกว่า  นี่ก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะทำให้การลงทุนแบบผู้หญิงเหนือกว่าการลงทุนแบบที่  กล้าได้กล้าเสีย”  แบบผู้ชาย  จริงอยู่  การลงทุนแบบที่กล้าเสี่ยงมาก ๆ  เช่น  การลงทุนในหุ้นที่ผันผวนมากหรือการใช้มาร์จินซื้อหุ้นเหล่านี้  อาจทำให้นักลงทุนแบบผู้ชาย  รวยไปเลย”  แต่หลายคนที่ผิดพลาดก็  จนไปเลย”  มองในแง่ค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว  การลงทุนที่เน้นความปลอดภัยสูงน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ผู้หญิงนั้นจะมองโลกในแง่ที่ดีน้อยกว่าผู้ชาย  ผู้หญิงมองโลกในแง่ที่เป็นจริงมากกว่า  ดังนั้น  เวลาที่ตลาดสดใสมาก  ผู้หญิงก็จะไม่  ฝันเฟื่อง”  มากเท่าผู้ชาย   เช่นเดียวกัน  เวลาที่ตลาดเลวร้าย  ผู้หญิงก็มักจะไม่ หดหู่เท่าผู้ชาย   มองในแง่นี้  ผู้หญิงก็จะไม่เป็น  เหยื่ออารมณ์ของ  นายตลาด”  เท่าผู้ชาย   พูดง่าย ๆ   ผู้หญิงจะไม่ซื้อขายตามภาวะตลาดมากเท่าผู้ชาย  ซึ่งมักทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มน้อยกว่าผู้ชายที่จะซื้อตอนตลาดแพงและขายตอนตลาดถูก

ผู้หญิงมีความละเอียดลออมากกว่าผู้ชายในเรื่องของการศึกษาหาข้อมูลเพื่อการลงทุน  การ คิดแล้ว คิดอีก”  “อ่านแล้ว อ่านอีก”  จนมั่นใจว่าไม่พลาดแน่นั้น  เป็นวิธีการลงทุนระยะยาวที่ดีกว่าการรีบตัดสินใจซื้อขายโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ  ดังนั้น  นิสัยผู้หญิงแบบนี้จึงเป็นนิสัยการลงทุนที่น่าจะประสบความสำเร็จสูงกว่านิสัยแบบผู้ชายที่มักเอาเร็วเข้าว่า

ผู้ชายมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่าผู้หญิง  ผู้ชายมักเชื่อว่าตนเอง  รู้หรือมีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากว่าที่เป็นจริง  ในขณะที่ผู้หญิงนั้น  มักยอมรับว่าพวกเธอรู้เรื่องอะไรบ้าง  และเรื่องอะไรที่ไม่รู้   มองในแง่นี้  ผู้ชายก็อาจจะมีแนวโน้มลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่รู้มากกว่าผู้หญิง  การลงทุนในสิ่งที่ตนเองคิดว่ารู้ดีแต่จริง ๆ  แล้วตนเองไม่รู้นั้น  ย่อมมีอันตรายสูง  ดังนั้น  การลงทุนแบบผู้หญิงในแง่นี้ก็น่าจะมีความปลอดภัยสูงกว่า  และนั่นย่อมหมายความว่าผลตอบแทนในระยะยาวน่าจะต้องดีกว่า

ผู้หญิงเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่าผู้ชาย  พูดง่าย ๆ  ผู้หญิง  เจ็บแล้วจำ”  มากกว่าผู้ชาย  นี่ก็เป็นคุณสมบัติที่ดีในการลงทุน  เพราะการลงทุนนั้น  บ่อยครั้งมากที่เรามักจะทำผิด  ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า”  อาจจะเนื่องจาก  ความโลภ”  ที่อยากจะได้กำไรสูง  ทำให้ลืมบทเรียนความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ก็คิดว่าครั้งนี้  ไม่เหมือนเดิม

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ผู้หญิงนั้นมักจะเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อน  หรืออยู่ใต้อิทธิพลของเพื่อน  น้อยกว่าผู้ชาย  พูดง่าย ๆ  ผู้ชายนั้น  เวลาตัดสินใจอะไร   ถ้ามีเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานจับตาดูอยู่  เขาก็จะมี  แรงกดดัน”  มากกว่าผู้หญิงที่จะต้องทำตามแนวทางของกลุ่ม  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเขารู้ว่าผลตอบแทนการลงทุนของเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานกำลังโดดเด่นมากเนื่องจากพวกเขากำลังเล่นหรือลงทุนในหุ้นบางกลุ่มในภาวะตลาดที่กำลังร้อนแรง  ก็ยากที่ผู้ชายจะอยู่ นิ่งเฉย”    ไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางการลงทุนของตนเองและยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำกว่า  มองในแง่นี้  การลงทุนแบบผู้หญิงก็น่าจะมีหลักการที่มั่นคงและเป็นสิ่งที่ตนเองมีความชำนาญมากกว่า  นอกจากนั้น  ผู้หญิงก็น่าจะมีการตัดสินใจที่อิสระมากกว่าผู้ชาย

ผลการลงทุนของผู้หญิงโดยทั่วไปในอเมริกานั้น  เนื่องจากมีการซื้อขายหุ้นน้อยกว่า  นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผลตอบแทนดีกว่าผู้ชาย  แต่ในด้านของมืออาชีพที่บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ต้องอาศัยฝีมือและอารมณ์ขั้นสูงสุดนั้น  ก็พบว่าผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่เป็นผู้หญิงก็สามารถสร้างผลงานเฉลี่ยที่ดีกว่าผู้ชาย  รวมถึงผลตอบแทนก็สม่ำเสมอกว่าผู้บริหารชาย  ที่สำคัญ  ในยามที่ตลาดเลวร้ายมากนั้น  ผลตอบแทนของผู้บริหารหญิงจะเลวร้ายน้อยกว่าของผู้บริหารชายมาก

หลายคนยังอาจจะสงสัยว่าทำไมนักลงทุนเอกของโลกที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้สูงมากอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์  ปีเตอร์ ลินช์ และอีกหลาย ๆ คนจึงมีแต่ผู้ชาย  แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าการลงทุน  แบบผู้หญิงนั้น  มีประสิทธิภาพเหนือกว่า?   ประเด็นนี้  คำตอบน่าจะมีได้สองทาง  ทางแรกก็คือ  การลงทุนแบบผู้ชายนั้น  มีความผันผวนสูงมาก    คนที่ทำได้ดีก็ดีมาก ๆ  แต่คนที่ทำได้แย่  ผลงานก็ ตกเหวไปเลย  โดยค่าเฉลี่ยก็ต่ำกว่าการลงทุนของผู้หญิง  คำอธิบายอีกทางหนึ่งก็คือ  วอเร็น บัฟเฟตต์  หรือเซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จระดับโลกที่เป็นผู้ชายนั้น  แท้ที่จริงแล้ว  เขาใช้แนวทางการลงทุนแบบ  ผู้หญิง”  ส่วนการที่ยังไม่มีผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็น เซียนระดับโลก”  นั้น   อาจจะเป็นเรื่องของ เวลา”  ก็ได้  เหนือสิ่งอื่นใด  ผู้หญิงเพิ่งจะก้าวเข้ามาในโลกของการลงทุนไม่นานนัก  ในอนาคต  เราอาจจะได้เห็นเซียนที่เป็นผู้หญิงก็ได้  นี่รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ผมคิดว่าในที่สุดก็จะต้องมี เซียนหุ้นหญิงเหมือนกัน     
     
26  กรกฎาคม  2554

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่



หุ้นกลุ่มหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่แทบไม่เคยสร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุนระยะยาวเลยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็คือ  หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ที่เรียกว่า  Modern Trade   เนื่องจากหุ้นในกลุ่มนี้แทบทุกตัวให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจทั้งในด้านของเงินปันผลและราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ  ต่อเนื่องมาตลอด  ที่สำคัญ  แม้ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ  หุ้นส่วนใหญ่มีราคาตกลงมามากมาย  หุ้นกลุ่มค้าปลีกก็ไม่ได้ตกลงมามากนัก  และเมื่อภาวะวิกฤติผ่านไป  ราคาก็กลับมาที่เดิมและปรับตัวสูงขึ้นไปอีก  ถ้าจะพูดไป  หุ้นค้าปลีกในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เป็นทั้งหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้าย  และเป็นหุ้น Growth หรือหุ้นที่เติบโต  อยู่ในตัวเดียวกัน  นอกจากนั้น  หุ้นหลายตัวในกลุ่มเองก็ให้ปันผลในอัตราที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  กลายเป็น  Dividend Stock  หรือ  หุ้นปันผล”  ที่จ่ายปันผลงดงามทุกไตรมาศ  และนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นกลุ่ม  Modern Trade ส่วนใหญ่มีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัท  หรือมี  PE  สูงมากโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ

ก่อนที่ผมจะพูดว่าทำไมหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่จึงได้ราคาที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ  ผมอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่าหุ้นที่อยู่ในข่าย Modern Trade คือหุ้นในกลุ่มไหน   เนื่องจากหลายคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์  แต่จริง ๆ  แล้วไม่ใช่เสียทีเดียว   เพราะหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ในนิยามของผมนั้น  จะต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ  การขายจะขายผ่านเครือข่ายร้านสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ  ราคาสินค้าที่ขายก็มักจะเท่ากันไม่ว่าจะขายในร้านหรูในกรุงเทพหรือร้านค้าที่อยู่ต่างจังหวัด  ตัวสินค้าเองก็มีความหลากหลายและใกล้เคียงกันในแต่ละสาขา  ระบบการทำงานของสาขาทั้งหมดมักจะต่อถึงกันผ่านสำนักงานใหญ่  ดังนั้น  ข้อมูลการขายสินค้าจะเป็นระบบรวมศูนย์ที่ทำให้การบริหารงานขายมักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเทียบกับร้านค้าแบบ  ดั้งเดิม”  ที่มักจะมีร้านเพียงร้านเดียวหรือมีสาขาน้อยมาก

หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหุ้นกลุ่มพาณิชย์เริ่มตั้งแต่หุ้น  BIGC ซึ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกที่เรียกว่า  Discount Store  แบบที่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่มากที่ขายสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ประจำวันและสินค้าราคาถูกอื่น ๆ  อีกมาก  หุ้น CPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ  7-11 ที่ขายสินค้าปริมาณเล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่เน้นความสะดวกเนื่องจากอยู่ใกล้ชุมชน  หุ้น  HMPRO ซึ่งขายสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้าน  หุ้น GLOBAL ซึ่งขายวัสดุก่อสร้าง  หุ้น IT ซึ่งขายสินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฮเท็คต่าง ๆ  หุ้น  MAKRO ซึ่งขายสินค้าให้กับร้านค้าโชห่วยและกิจการอื่น ๆ  เช่นร้านอาหารหรือโรงแรม  หุ้น  ROBINS ซึ่งทำห้างสรรพสินค้าโรบินสัน    นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพาณิชย์เช่น  หุ้น SE-ED ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือ  หุ้น JMART  ที่ขายโทรศัพท์มือถือ  นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่อาจจะเรียกว่าเป็น Modern Trade ได้เหมือนกันแต่ขายเฉพาะสินค้าจากโรงงานหรือบริษัทของตนเองเป็นหลัก  อย่างหุ้น DCC ซึ่งขายกระเบื้องก่อสร้าง  หุ้น JUBILY ขายเครื่องประดับเพชร  และหุ้น  BGT ซึ่งขายเสื้อผ้า เป็นต้น

จุดเด่นของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  มีหลายประการ  เริ่มตั้งแต่ข้อแรกคือ  มักเป็นกิจการที่มีความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานทั้งยอดขายและกำไร  เหตุผลก็คือ  บริษัทมีการขายสินค้าให้กับคนจำนวนมาก  มักจะเป็นแสนหรือล้าน ๆ ราย  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของยอดขายในแต่ละปีจะไม่มาก  สินค้าที่ขายก็มักจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนซึ่งมักจะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น  นอกจากนั้น  บริษัทสามารถกำหนดราคาขายให้อิงกับต้นทุนของบริษัทได้ค่อนข้างจะทันที  เพราะเป็นกิจการที่ซื้อมา-ขายไป  ทำให้กำไรของบริษัทผันแปรไปตามยอดขายเสมอ
ข้อสอง  กิจการ Modern Trade มักมีความเสี่ยงในการล้มละลายต่ำเนื่องจากบริษัทขายสินค้าเป็นเงินสด  แต่จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อหลายเดือน  ทำให้บริษัทมีเงินสดมากในขณะที่มักจะมีหนี้เงินกู้น้อย  หลายบริษัทไม่มีหนี้เงินกู้จากธนาคารเลยและทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้สูงเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้  บางบริษัทจ่ายถึง  100%  และจ่ายทุกไตรมาศ

ข้อสาม  เนื่องจากกิจการ Modern Trade ในตลาดหลักทรัพย์มักจะเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้าที่ตนเองขาย  เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่  ดังนั้น  บริษัทจึงมีความได้เปรียบคู่แข่งโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับร้านค้าแบบดั้งเดิม  บริษัทจึงมักจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้บริษัทสามารถจะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ  อย่างยาวนานทั้ง ๆ  ที่ตัวอุตสาหกรรมโดยรวมก็อาจจะไม่ได้เติบโตมากนัก  การเติบโตของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  นอกจากจะเติบโตจากร้านสาขาเดิมแล้ว  ยังมักจะเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่ด้วย  ดังนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้หลาย ๆ  ตัวจึงเป็นหุ้นที่ เติบโต”  ระยะยาว  แม้ว่าอัตราการเติบโตของบางบริษัทอาจจะไม่สูงนัก

หุ้นค้าปลีกนั้น  มีผลงานที่ดีและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมาตลอด  แต่ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ดูเหมือนว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลังจากที่ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งและกำลังมีรัฐบาลที่มีนโยบายในการเพิ่มรายได้ให้กับคนมีรายได้ต่ำโดยการเพิ่มเงินเดือนและการ ประกันราคาสินค้าการเกษตรในระดับที่สูง   ผลจากนโยบายนี้จะทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ  กับอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น  ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายของกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ  นอกจากนั้น  การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในเวลาเดียวกันก็จะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง  จริงอยู่ที่ต้นทุนค่าแรงของบริษัทอาจจะเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทก็น่าจะส่งผ่านต้นทุนนี้ให้กับผู้ซื้อสินค้าได้  เพราะทุกบริษัทก็ต้องจ่ายค่าแรงที่เพิ่มขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น   ดังนั้น  หากเป็นไปตามภาพดังกล่าวนี้  กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้

ประเด็นที่ต้องคำนึงสำหรับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ไม่ใช่เรื่องของผลประกอบการหรือความเข้มแข็งของตัวธุรกิจ  แต่น่าจะอยู่ที่ราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นมามากและทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีราคาที่ ไม่ถูกแล้ว   ว่าที่จริง  ถ้ามองจากค่า PE และค่า PB ผมคิดว่าน่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ แพงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์   อย่างไรก็ตาม  ก็อาจจะพูดได้เหมือนกันว่ามันเป็นหุ้นกลุ่มที่ ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงเวลานี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  ในความคิดของผม  หุ้นกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ในเวลานี้  ถ้าจะลงทุนก็คงไม่ใช่แนวทางแบบ  เบน  เกรแฮม ที่เน้นหาหุ้นถูกเป็นหลัก  แต่อาจจะเป็นแนวทางแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์  ที่เน้นลงทุนในหุ้นแบบ ซุปเปอร์สต็อกคือลงทุนในหุ้นที่ดีสุดยอด  ในราคาที่ยุติธรรม  ว่าที่จริง  บัฟเฟตต์เองก็ซื้อหุ้น  วอลมาร์ท ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อไม่นานมานี้  ในราคาที่ไม่ถูกเลย     
     
19  กรกฎาคม  2554